วันอังคารที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2553

เปรียบเทียบความเหมือนและความแตกต่างของ cpu

Core 2 Duo, Core i3 5 7, QUAD, Pentium 4, Centrino
Core 2 Duo
เป็นแพลตฟอร์มใหม่ของโปรเซสเซอร์จากค่ายอินเทล ที่ผลิตขึ้นภายใต้สถาปัตยกรรมย่อส่วน Intel® Core™ มีชุดประมวลผลสองชุดเช่นเดียวกับรุ่น Core Cuo แต่ Core 2 Duo พัฒนาต่อจากซีพียู Core Duo คะ ทำให้มีประสิทธิภาพสูงกว่า โดยโปรเซสเซอร์ Intel® Core™2 Duo (หรือ Core 2 Duo) ออกแบบมาเพื่อรองรับงานที่มากกว่าเดิมในเวลาที่น้อยลง โดยใช้เทคโนโลยี Intel® Wide Dynamic Execution, Intel® Smart Memory Access, Intel® Advanced Smart Cache และ Intel® Digital Media Boost คะ นอกจากนี้ โปรเซสเซอร์ Intel Core 2 Duo ยังสามารถรองรับคุณสมบัติต่าง ๆ ด้านระบบความปลอดภัย ระบบประมวลผลเสมือนจริง และระบบประมวลผล 64 บิต เหมาะสำหรับงานมัลติมีเดียและสื่อข้อมูลที่มีความละเอียดสูงได้ รหัสของซีพียู Core 2 Duo จะนำหน้าด้วย T5xxx และ T7xxx นะคะ โดย T5xxx จะมี L2 Cache 2 MB ส่วน T7xxx จะมี L2 Cache อยู่ 4 MB
Core i 3
ซีพียู Core i3 ซึ่งเป็นซีพียูตัวใหม่จากผู้ผลิตนามว่า Intel นั้นเองครับCore i3 นี้เป็น ซีพียูที่หลายคนตั้งหน้าตั้งตารอกันมากเลยทีเดียว สาเหตุเพราะมันเป็นซีพียูที่มีเทคโนโลยีใหม่ และมีราคาที่ถูกเจ้าซีพียู Core i3 นี้ใช้ชื่อรหัส หรือ Code Name ว่า Clarkdale ผลิตด้วยเทคโนโลยีการผลิต 32 นาโนเมตร มีแกนประมวลผล หรือ Core จำนวน 2 Core และด้วยเทคโนโลยี Hyper Threading ทำให้ Core i3 สามารถประมวลได้พร้อมกันถึง 4 Thread ใน 1 รอบการทำงานครับCore i3 ได้มีการติดตั้งหน่วยประมวลผลกราฟฟิค และตัวควบคุมหน่วยความจำไว้บนแผงวงจรเดียวกับซีพียูซึ่งการทำเช่นนี้จะทำให้พื้นที่เมนบอร์ดมีขนาดเล็กลง ไปด้วย*หมายเหตุ นอกจาก Core i3 แล้ว Core i5 รุ่น 2 คอร์ที่ใช้เทคโนโลยีการผลิต 32 nm ทางอิเทลก็จะมีการติดตั้งหน่วยประมวลผลกราฟิคมาให้ด้ วยเช่นกันนะครับ อิอิ**มาทำความเข้าใจกันก่อนนิดนึงcore i3,i5 รุ่น 2 คอร์ มีหน่วยประมวลผลกราฟฟิคในตัวและใช้เทคโนโลยีการผลิต 32 นาโน ใช้ชื่อรหัส Clarkdale core i7 รุ่น 6 Coreและใช้เทคโนโลยีการผลิต 32 นาโน ใช้ชื่อรหัส GulftownClarkdale และ Gulftown ทั้ง 2 อยู่ในตระกูล Westmereพอจะมองออกแล้วนะครับ เรามาต่อกันนะครับจากรูปเดิมด้านขวามือเราจะพบว่าบนแผงวงจรสีเขียวจะมี ชิพอยู่ 2 ตัว ซึ่งได้แก่1)ชีพซีพียู ซึ่งใช้เทคโนโลยีการผลิต 32 นาโนเมตร2)ซีพที่ทำหน้าที่ประมวลผลกราฟิคและควบคุมหน่วยความจ ำ หรือเราอาจจะเรียกมันว่าชิพเซต North Bridge ซึ่งชิพตัวนี้ใช้เทคโนโลยีการผลิต 45 นาโนเมตรครับสิ่งนี้แสดงให้เราเห็นว่า Intel ยังไม่ได้ทำการอินทิเกรตหน่วยประมวลผลกราฟิคลงไปในตั วซีพียูจริงๆIntel เพียงแค่นำหน่วยประมวลผลกราฟิคไปติดตั้งไว้บนแผงวงจร เดียวกับชิพซีพียูเท่านั้นเองสำหรับ Core i3 นี้ถ้าจะให้ดีต้องใช้กับเมนบอร์ดที่ใช้ ชิพเซต H55 และ H57Core
i3 ราคาล่ะเท่าไร?
Pentium G6950 , DualCore, CPU Clock 2.80 GHz, GPU Clock 533GHZ, L3 3MB, TDP 73W, Price $87Core i3-530 , DualCore, CPU Clock 2.93 GHz, GPU Clock 733GHZ, L3 4MB, TDP 73W, Price $123Core i3-540 , DualCore, CPU Clock 3.06 GHz, GPU Clock 733GHZ, L3 4MB, TDP 73W, Price $143Core i5-650 , DualCore, CPU Clock 3.20 GHz, GPU Clock 733GHZ, L3 4MB, TDP 73W, Price $176Core i5-660 , DualCore, CPU Clock 3.33 GHz, GPU Clock 733GHZ, L3 4MB, TDP 73W, Price $196Core i5-661 , DualCore, CPU Clock 3.33 GHz, GPU Clock 900GHZ, L3 4MB, TDP 87W, Price $196Core i5-670, DualCore, CPU Clock 3.46GHz, GPU Clock 733GHZ, L3 4MB, TDP 73W, Price $284ตอนนี้เราได้รู้ทันทั้งราคา และประสิทธิภาพกันแล้วที่เหลือคงจะขึ้นอยู่กับดุลพิน ิจของแต่ล่ะท่าน
Intel เปลี่ยนชื่อรุ่นซีพียูตระกูล "Core" เป็น Core i7, Core i5, Core i3
ในช่วงเวลาสองสามปีที่ผ่านมานี้ อินเทลได้มีการพัฒนาซีพียูออกมากมายหลายรุ่น และก็ไมีการตั้งชื่อซีพียูแต่ละรุ่นแต่ละตระกูลแยกย่อยออกไปมากมาย ซึ่งในที่สุดแล้วด้วยชื่อรุ่นที่มากมายมันก็จะทำให้ลูกค้าเกิดความสับสนได้ง่าย ทางอินเทลจึงได้ตัดสินใจที่จะทำการเปลี่ยนแปลงชื่อรุ่นของซีพียูให้เป็นหมวดเป็นหมู่ที่จดจำง่ายมากยิ่งขึ้น โดยซีพียูในกลุ่มเดสก์ท็อปหลักๆ ก็จะมีซีพียูอยู่สามซีรี่ส์ด้วยกันคือ Core i7, Core i5 และ Core i3 สำหรับ Core i7 นั้นเราก็คุ้นเคยกันมาสักพักแล้วซึ่งเป็นซีพียูรุ่นใหม่ล่าสุดใช้สถาปัตยกรรมล่าสุดที่ชื่อว่า Nehalem นั่นเอง Core i7 จะเป็นซีพียูกลุ่มประสิทธิภาพสูงมาก ส่วนซีพียูใช้ชื่อซีรี่ส์ว่า Core i5 จะเป็นซีพียูที่มีประสิทธิภาพระดับกลาง-ถึงระดับสูง โดยในส่วนของ Core i5 นั้นอาจจะมีทั้งซีพียูที่มีโค้ดเนมว่า Lynnfiled และซีพียูที่ในตระกูล Core 2 บางรุ่น สำหรับซีพียูซีรี่ส์ Core i3 ก็จะเป็นซีพียูประสิทธิภาพสำหรับการใช้งานพื้นฐานทั่วไป และ Core i3 นั้นจะเริ่มมีให้เห็นกันในช่วง 2010 ส่วนซีพียูอย่าง Pentium, Celeron ยังคงมีใช้อยู่อีกสักพัก แต่ว่าในอนาคตก็จะถูกรวมไปอยู่ในกลุ่มของ Core iX ด้วยเช่นกัน นอกจากจะมีการเปลี่ยนแปลงชื่อของซีพียูแล้ว อินเทลยังมีแผนเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงชื่อของแพลตฟอร์มอีกด้วย ชื่อของแพตลฟอร์มอย่าง Intel Centrino ที่ได้รับความสำเร็จอย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายปีในตลาดคอมพิวเตอร์โน้ตบุ๊กนั้น อินเทลก็มีเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน คือชื่อของ Centrino จะถูกนำไปใช้กับผลิตภัณฑ์ทางด้าน Wireless อย่าง WiFi และ WiMAX แทน โดยจะเริ่มต้นแผนนี้ในปี 2010 ส่วนอีกแพลตฟอร์มหนึ่งคือ Intel vPro นั้น อินเทลยังคงไว้เช่นเดิม คือเป็นแพตลฟอร์มสำหรับคอมพิวเตอร์สำหรับองค์กร ที่มีจุดเด่นในเรื่องการบริหารจัดการ และเรื่องความปลอดภัย โดยซีพียูที่จะนำไปใช้ในแพลตฟอร์ม Intel vPro ก็จะประกอบไปด้วย Core i7 และ Core i5 ทั้งหมดที่ทำมานี้นอกจากจะช่วยให้ลูกค้าเข้าใจในตัวสินค้าได้ง่ายขึ้นแล้ว ถ้ามองในแง่การตลาดก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงที่ดีเช่นกัน โดยเฉพาะเรื่องการสื่อสารกับลูกค้าก็ทำได้ง่ายขึ้น ทำโฆษณาประชาสัมพันธ์ก็ทำได้ง่ายขึ้นเช่นกัน QUAD Quad Core มันก็หมายถึง ซีพียู ที่มีแกนประมวลผล 4 แกน ซึ่งคำว่า Quad Core เป็นแค่ตัวบ่งชิ้ในข้อมูลของสเป็ค ซีพียู เท่านั้น จะเป็น AMD or Intel ก็ใช้คำนี้เหมือนกันหมด Quad Core กับ Core 2 Quad มันต่างแตกกันยังไง ? คำว่า Quad Core มันก็หมายถึง ซีพียู ที่มีแกนประมวลผล 4 แกน ซึ่งคำว่า Quad Core เป็นแค่ตัวบ่งชิ้ในข้อมูลของสเป็ค ซีพียู เท่านั้น จะเป็น AMD or Intel ก็ใช้คำนี้เหมือนกันหมด แต่คำว่า Core 2 Cuad เป็นชื่อของตระกูลของ CPU ที่ Intel ตั้งไว้ให้ CPU ในสถาปัตยกรรม 65 nm (คือ Kentsfield) กับ 45nm (คือYorkfied) ความหมายคือเป็น CPU Multi Core รุ่นที่ 2 ครับ ซึ่งก็คงรู้กันอยู่แล้วว่า CPU Multi Core รุ่นแรกนั้น ทางอินเทลได้พัฒนาไว้ใน CPU ของ Laptop และให้ชื่อตระกูลของ CPU นั้นว่า Core Duo ( ในสถาปัตยกรรม 65 nm ที่มีชื่อว่า Yonah ) จนกระทั่งประสบความสำเร็จและพัฒนามาเป็น รุ่นที่ 2 เป็น CPU ของ Desktop จึงให้ชื่อว่า Core 2 Duo (ในรุ่นที่มี แกนประมวลผล 2 แกน) และชื่อว่า Core 2 Quad (ในรุ่นที่มีแกนประมวลผล 4 แกน) ก็เท่านั้นเองครับสรุป มันก็ต่างกันที่ว่า Quad Core เป็นตัวบ่งชี้จำนวนแกนประมวลผลที่ใช้กับ CPU 4 แกน (จะค่ายใหนก็ชั่ง) ส่วน Core 2 Quad เป็นชื่อตระกูล CPU ของค่าย Intel เท่านั้น


Intel Pentium4
โดยโปเซสเซอร์ Intel Pentium4 ที่มีจำหน่าย อยู่ในท้องตลาดขณะนี้นั้น ได้แก่ Pentium4 Northwood ซึ่งเป็น Pentium4 รุ่นที่ 2 ที่ติดตั้งบน ซ็อกเก็ต 478 มีแคช L2 512 KB โดยในรุ่นนี้นั้นได้แบ่งออกเป็นอีก 3 รุ่น ดังนี้• Pentium4 Northwood รหัส A (มีอักษร A ต่อท้าย) ใช้ความเร็ว Bus 400MHz • Pentium4 Northwood รหัส B (มีอักษร B ต่อท้าย) ใช้ความเร็ว Bus 533MHz• Pentium4 Northwood รหัส C (มีอักษร C ต่อท้าย) ใช้ความเร็ว Bus 800MHz พร้อมทั้งมี • Pentium4 Extreme Edition หรือ Pentium4 EE เป็นรุ่น Top สุดในปัจจุบัน โดยจำหน่ายเพียง รุ่นเดียวคือ Pentium4 XE3.2GHz มีแคช L2 1 เมกะไบต์ และ L3 2 เมกะไบต์ ทำงานที่ Bus 800MHz และมี Hyper Threading Technology และ Pentium4 Prescott ซึ่งเป็นรุ่นที่พึ่งจะเปิดตัว ไม่นานนี้เอง มีแคช L2 ขนาด 1 เมกะไบต์ ใช้สถาปัตยกรรม 0.09 ไมครอน มีชุดคำสั่ง SSE3 สำหรับโปรเซสเซอร์ Intel Pentium4 ใหม่อย่าง Intel Pentium4 Prescott นี้ มีการเปลี่ยนแปลงจาก Pentium4 ตัวเดิมที่ใช้คอร์ Northwood เดิม ดังนี้คือ Prescott ผลิตด้วยเทคโนโลยี 0.09 ไมครอน (หรือ 90 นาโนเมตร) แทนเทคโนโลยี 0.13 ไมครอนที่ใช้อยู่ใน Pentium 4 รุ่นเดิม โดยผลิตบน แผ่นเวเฟอร์ขนาด 12 นิ้ว ซึ่งจะมีแพ็คเกจขนาดที่เล็กลง ที่ประมาณ 112 ตารางมิลลิเมตร โดยเมื่อเทียบกับขนาด 132 ตารางมิลลิเมตรของ Northwood และ มีทรานซิสเตอร์บรรจุอยู่ประมาณ 125 พันล้านตัว จาก 55 พันล้านตัวของ Northwood โดย Prescott และในส่วนของแคช (Cache) ที่เพิ่มแคช L1 จาก 8KB มาเป็น 16kB และเพิ่มแคช L2 จากเดิม 512KB มาเป็น 1 เมกะไบต์ พร้อมทำงานที่ความเร็ว 800MHz FSB และยังเพิ่มชุดคำสั่ง (Instruction) ด้านมัลติมีเดียเพิ่มเข้ามาอีกไม่ต่ำกว่า 13 ชุด ส่งผล ให้ Prescott มีสมรรถนะด้านกราฟิกและการคำนวณ เลขทศนิยมสูงกว่า Pentium 4 รุ่นเดิมอย่างเห็น ได้ชัด โดย Prescott โดยถูกปล่อยออกสู่ตลาดเมื่อปลายปี 2003 พร้อมฟีเจอร์ด้านซีเคียวริตี้ที่ดีกว่า และใช้เทคโนโลยีการผลิตที่เรียกว่า Strained Silicon ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้ทรานซิสเตอร์ทำงานได้เร็วขึ้น โดยสถาปัตยกรรมพื้นฐานของ Prescott เป็นตัวเดียวกันกับ PentiumM โค้ดเนม “Banias” แต่ สำหรับ Prescott นั้นจะพิเศษกว่าตรงที่มีการฝังความสามารถด้านรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่า LaGrande เอาไว้ในตัวชิปด้วย อีกทั้งยังรองรับ Hyper Threading Technology ซึ่งจะทำงานเสมือนมีโปรเซสเซอร์ 2 ตัวทำงานอยู่บนระบบเดียวกัน คล้ายระบบดูอัลโปรเซสเซอร์ที่สามารถทำงาน 2 อย่างได้ใน เวลาเดียวกันในเครื่องเซิร์ฟเวอร์ ซึ่งจำเป็นจะต้องใช้กับเมนบอร์ดที่รองรับการทำงานด้วย
Centrino
Centrino คือ CPU ของ Intelแต่ บวกเข้ากับ Intel Chipset แล้วก็ตบท้ายด้วย Wireless Network Centrino หรือชื่อเต็มมาจาก อินเทล เซนตริโน โมบายล์ เทคโนโลยี (Intel Centrino Mobile Technology) คือชื่อของเทคโนโลยีที่อินเทล (Intel) พัฒนาออกแบบมาเพื่อโน้ตบุ๊กโดยเฉพาะคะ โน้ตบุ๊กที่จะใช้เทคโนโลยี Centrino นี้จะต้องประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักๆ คือ- ซีพียู Pentium M - ชิปเซ็ตของอินเทล Chipset i855- โมดูล Intel Pro/Wireless ซึ่งเป็นโมดูลของระบบแลนไร้สายหรือ Wi-Fi

วันอังคารที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2553



ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับ BIOS



รู้จักกับ BIOS (Basic Input/Output System)
อุปกรณ์ของคอมพิวเตอร์ทุกชนิดที่เป็น ฮาร์ดแวร์ จะสามารถทำงานได้โดยต้องมี ซอฟท์แวร์ ประกอบด้วย สำหรับ BIOS (Basic Input/Out System) นี้จะเป็นที่เก็บ ซอฟท์แวร์ ขนาดเล็ก ๆ ไว้ในชิป ROM (เป็นแบบ EPROM : Erasable Programmable Read-Only Memory) เพื่อใช้สำหรับทำการบูทเครื่องคอมพิวเตอร์จากแผ่น floppy disks (FDD) หรือจาก hard disks (HDD) โดยที่ BIOS จะทำหน้าที่ต่าง ๆ ที่จำเป็นสำหรับการ POST (Power-On Self Test) ก่อนที่จะเรียกใช้ ซอฟท์แวร์ ที่เป็น Operating System เช่น DOS หรือ Windows จาก FDD หรือ HDD เพื่อทำการเริ่มต้นเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้สามารถทำงานได้ต่อไป นอกจากนี้ BIOS ยังเป็นตัวกำหนดค่าต่าง ๆ ให้กับเครื่องคอมพิวเตอร์ โดยจะควบคุมการทำงานของ Keyboard, ควบคุมการทำงานของ Serial Port, Parallel Port, Video Card, Sound Card, HDD Controller และอื่น ๆ ในบางครั้ง เครื่องคอมพิวเตอร์รุ่นเก่า ๆ เมื่อมีอุปกรณ์ใหม่ ๆ เพิ่มเติมเข้ามาหาก BIOS ไม่สามารถรู้จักและใช้งานได้ จำเป็นต้องมีการแก้ไขโปรแกรมหรือซอฟท์แวร์ที่บรรจุใน BIOS ให้รู้จักกับอุปกรณ์ใหม่ ๆ นั้นด้วยที่เรียกกันว่า Flash BIOS นั่นเอง สำหรับปัจจุบันนี้ BIOS จะเก็บไว้ใน EPROM ซึ่งเป็นหน่วยความจำชนิดหนึ่งที่ปกติจะใช้สำหรับอ่านได้อย่างเดียว (ส่วนใหญ่จะเป็นไอซีตัวสี่เหลี่ยมเล็ก ๆ อยู่บนเมนบอร์ด) โดยที่เราสามารถทำการ ลบข้อมูลและโปรแกรมข้อมูล ลงไปใหม่ได้โดยใช้ซอฟท์แวร์ที่ออกแบบมาโดยเฉพาะสำหรับการ Flash BIOS นั้น ๆ ทั้งนี้จะขึ้นอยู่กับชนิดของ BIOS EPROM และเมนบอร์ดด้วยนะครับว่าสามารถ Flash ได้หรือเปล่าโดยวิธีการง่าย ๆ คือตรวจสอบจากเวปไซต์ของผู้ผลิดเมนบอร์ดนั้น ๆ (โดยส่วนใหญ่แล้ว เมนบอร์ดสำหรับ Pentium ขึ้นไปส่วนใหญ่จะทำการ Flash ได้แล้ว) โดยปกติแล้ว อุปกรณ์ต่าง ๆ จะมีการตั้งค่า Configuration ที่แตกต่างออกไปได้ ซึ่งค่าเหล่านี้จะถูก BIOS เก็บไว้ในส่วนของ CMOS RAM ประมาณ 64 Bytes ซึ่ง CMOS นี้จะต้องมีการจ่ายไฟเลี้ยงอยู่ตลอดเวลาจาก แบตเตอรี่ เพื่อให้ค่าที่ตั้งไว้ไม่หาย ไปเมื่อปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ ซึ่งในส่วนของ CMOS นี้จะเป็นเทคโนโลยีที่มีการใช้พลังงานน้อยมาก ดังนั้นจึงสามารถใช้งาน ได้นานโดยไม่ต้องคอยเปลี่ยนแบตเตอรี่บ่อยๆ เพื่อให้ได้ประสิทธิภาพสูงสุดของการใช้งานเครื่องคอมพิวเตอร์ จำเป็นต้อง ทำการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ให้เหมาะสมเช่น ค่าความเร็วของการอ่านข้อมูลจาก Memory การตั้ง Enabled หรือ Disabled อุปกรณ์ต่าง ๆ, ความเร็วของ PCI BUS, ชนิดของ Floppy Disk หรือ Hard Disk ที่ใช้งาน, อุปกรณ์ต่อพ่วงต่าง ๆ เช่น SCSI และอื่น ๆ อีกมากมายที่มีอยู่ในเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS ที่มีใช้งานอยู่ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 บริษัทคือของ AMI BIOS (American Mega trends Inc) และ AWARD (ปัจจุบันรวมเข้ากับ Phoenix Technologies, Ltd. แล้ว) นอกจากนี้ก็จะมี BIOS ที่เป็นของแบนด์เนมต่าง ๆ เช่น COMPAQ หรือ IBM ซึ่งจะมีหน้าตาและวิธีการตั้งค่าแตกต่างออกไปด้วยสรุปว่า BIOS มีความสำคัญมากในระบบคอมพิวเตอร์ ถ้าไม่มี BIOS เราก็ไม่สามารถเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ได้
รูปแบบการรายงานความผิดพลาด หากในขั้นตอน POST นั้นเกิดข้อผิดพลาดขึ้น BIOS จะรายงานความผิดพลาดนั้นให้ทราบทางจอภาพ หรือหากข้อผิดพลาด นั้นเกิดจากจอภาพหรือการ์ดแสดงผล BIOS จะรายงานความผิดพลาดนั้นโดยส่งเสียง beep สั้น-ยาวต่างกันออกไปตามลักษณะของปัญหานั้นๆ ตารางแสดงถึงรายงานข้อผิดพลาดที่เกิดขึ้น ในกรณีที่ภาคการแสดงผลยังใช้งานได้ (ใช้ได้กับ BIOS ของ AMI และ Award)
ข้อความ
ความหมาย
8024 Gate - A20 Error
คอนโทรลเลอร์ 8042 สำหรับคีบอร์ดเสีย
Cache Memory Bad, Do not Enable Cache!
หน่วยความจำแคชเสีย โดยสามารถเปิด การใช้งานได้จาก SETUP
CMOS BATTERY HAS FAILED
แบตเตอรี่ที่จ่ายไฟเลี้ยง CMOS หมด
CMOS Battery State Low
แบตเตอรี่ที่จ่ายไฟเลี้ยง CMOS หมด
CMOS CHECKSUM ERROR
ข้อมูลที่เก็บไว้ใน CMOS ไม่ถูกต้อง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเกิดจากแบตเตอรี่ที่ใกล้จะหมด ทำให้ไฟจ่ายได้ไม่ สม่ำเสมอ
CMOS Checksum Failure
ข้อมูลที่เก็บไว้ใน CMOS ไม่ถูกต้อง ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้วเกิดจากแบตเตอรี่ที่ใกล้จะหมด ทำให้ไฟจ่ายได้ไม่ สม่ำเสมอ
CMOS System Options Not Set
ข้อมูลที่เก็บไว้ใน CMOS ไม่ถูกต้อง ซึ่งโดยส่วนใหญ่ แล้วเกิดจากแบตเตอรี่ที่ใกล้จะหมด ทำให้ไฟจ่ายได้ไม่ สม่ำเสมอ
CMOS Memory Size Mismatch
BIOS พบว่าขนาดหน่วยความจำเปลี่ยนแปลงไป นับจากการเปิดเครื่องครั้งล่าสุด
CMOS Time and Date Not Set
RTC (Real Time Clock) เสีย
DISK BOOT FAILURE, INSERT SYSTEM DISK AND PRESS ENTER
BIOS ไม่พบดิสก์ที่กำหนดให้ใช้สำหรับบูต (boot) หรือ ดิสก์นั้นไม่ได้ติดตั้งระบบปฏิบัติการใดๆไว้
Diskette Boot Failure
BIOS ไม่พบดิสก์ที่กำหนดให้ใช้สำหรับบูต (boot) หรือ ดิสก์นั้นไม่ได้ติดตั้งระบบปฏิบัติการใดๆไว้
DISKETTE DRIVES OR TYPES MISMATCH ERROR-RUN SETUP
กำหนดชนิดของดิสก์ไดรฟ์ไว้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ติดตั้งไดรฟ์ชนิด 1.2 MB ไว้แต่กำหนดจาก SETUP ไว้เป็นชนิด 1.44MB เป็นต้น
DISPLAY SEUTCH IS STE INCORRECTLY
กำหนดฃนิดของการ์ดแสดงผลและจอภาพไว้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ติดตั้งการ์ดแสดงผลชนิด VGA ไว้แต่กำหนดไว้ใน SETUP (หรืดโดย jumper บนเมนบอร์ด) เป็นชนิด monochrome เป็นต้น
Display Switch Not Proper
กำหนดฃนิดของการ์ดแสดงผลและจอภาพไว้ไม่ตรงกับความเป็นจริง เช่น ติดตั้งการ์ดแสดงผลชนิด VGA ไว้แต่กำหนดไว้ใน SETUP (หรืดโดย jumper บนเมนบอร์ด) เป็นชนิด monochrome เป็นต้น
DISPLAY TYPE HAS CHANGED SINCE LAST BOOT
BIOS พบว่ามีการเปลี่ยนแปลงการ์ดแสดงผลนับจากการเปิดเครื่องครั้งล่าสุด




EISA Configuration Checksum Error PLEASE RUN EISA CONFIGURATION UTILITY
ค่าที่กำหนดไว้สำหรับอุปกรณ์ EISA ไม่ถูกต้อง หรือมีปัญหา
EISA Configuration is Not Complete PLASE RUN EISA CONFIGURATION UTILITY
ค่าที่กำหนดไว้สำหรับอุปกรณ์ EISA ไม่ถูกต้อง หรือมีปัญหา
ERROR ENCOUNTERED INTIALIZING HARD DRIVE
เริ่มการทำงานของฮาร์ดดิสก์ไม่ได้ อาจเกิดการตั้งค่าใน SETUP ไว้ไม่ถูกต้อง, สายเคเบิลหลุด-หลวม หรือฮาร์ดดิสก์นั้นเสียก็ได้
ERROR INTIALIZING HARD DTRIVE CONTROLLER
เริ่มการทำงานของคอนโทรลเลอร์สำหรับฮาร์ดดิสก์ไม่ได้ อาจเกิดจากการติดตั้งค่าใน SETUP ไว้ไม่ถูกต้อง, สายเคเบิลหลุดหลวม หรือคอนโทรลเลอร์นั้นเสียก็ได้
DMA Error000
คอนโทรลเลอร์ DMA (Direct Memory Access) เสีย
DMA #1 Error
เกิดข้อผิดพลาดขึ้นใน DMA channel 1
DMA #2 Error
เกิดข้อผิดพลาดขึ้นใน DMA channel 2
FDD Controller Failure
เริ่มการทำงานของคอนโทรลเลอร์สำหรับดิสก์ไดรฟ์ไม่ได้ อาจเกิดจากการติดตั้งค่าใน SETUP ไว้ไม่ถูกต้อง, สายเคเบิลหลุดหลวม หรือคอนโทรลเลอร์นั้นเสียก็ได้
FLOPPY DISK CNTRLR ERROR OR NO CNTRLR PRESENT
เริ่มการทำงานของคอนโทรลเลอร์สำหรับดิสก์ไดรฟ์ไม่ได้ อาจเกิดจากการติดตั้งค่าใน SETUP ไว้ไม่ถูกต้อง, สายเคเบิลหลุดหลวม หรือคอนโทรลเลอร์นั้นเสียก็ได้
HDD Controller Failure
เริ่มการทำงานของคอนโทรลเลอร์สำหรับดิสก์ไดรฟ์ไม่ได้ อาจเกิดจากการติดตั้งค่าใน SETUP ไว้ไม่ถูกต้อง, สายเคเบิลหลุดหลวม หรือคอนโทรลเลอร์นั้นเสียก็ได้
I/O Card Parity Error at xxx
Expansion card เสียหรือทำงานผิดพลาด ที่ตำแหน่ง xxx
Invalid EISA Configuration PLEASE RUN EISA CONFIGURATION UTILITY
ค่าที่กำหนดไว้สำหรับอุปกรณ์ EISA ไม่ถูกต้องหรือมีปัญหา
KB/Interface Error
หัวต่อคีบอร์ดเสีย หรือหลุดหลวม
Keyboard Error
ไม่ได้ติดตั้งคีบอร์ดไว้ หรือคีบอร์ดเสีย
KEYBOARD ERROR OR NO KEYBOARD PRESENT
ไม่ได้ติดตั้งคีบอร์ดไว้ หรือคีบอร์ดเสีย
Memory Address Error at xxx
พบหน่วยความจำเสียที่ตำแหน่ง xxx
Memory Parity Error at xxx
พบหน่วยความจำเสียที่ตำแหน่ง xxx
MEMORY SIZE HAD CHANGED SINCE LAST BOOT
BIOS พบว่าขนาดหน่วยความจำเปลี่ยนแปลงไปนับจากการเปิดเครื่องครั้งล่าสุด (เกิดขึ้นเฉพาะในระบบที่ใช้อุปกรณ์แบบ EISA เท่านั้น)
Memory Verity Error at xxx
พบหน่วยความจำเสียที่ตำแหน่ง xxx
Parity Error xxx
พบหน่วยความจำเสียที่ตำแหน่ง xxx
PRESS A KEY TO REBOOT
เกิดข้อผิดพลาดบางประการขึ้น ซึ่งระบบพยายามแก้ปัญหาด้วยการบูตเครื่องใหม่


PRESS F1 TO DISABLE NMI, F2 TO REBOOT
ตรวจพบ NMI (Non Maskable Interrupt) หากกดคีย์ F1 จะยกเลิก NMI แล้วทำงานต่อตามปกติ หากกดคีย์ F2 BIOS จะบูตเครื่องใหม่และใช้งาน NMI นั้น (หากทำได้)
RAM PARITY ERROR - CHECKING FOR SEGMENT XXX
พบหน่วยความจำเสียที่ตำแหน่ง xxx
Should be Empty But EISA Board found PLEASE RUN EISA CONFIGURATION UTILITY
เกิดขึ้นเมื่อเพิ่มอุปกรณ์ชนิด EISA ลงในระบบ
Should Have EISA Board But Not Found PLEASE RUN EISA CONFIGURATION UTILITY
เกิดขึ้นเมื่อถอดอุปกรณ์ชนิด EISA ออกจากระบบ
Slot Not Empty
เกิดขึ้นเมื่อเพิ่มอุปกรณ์ชนิด EISA ลงในระบบ
SYSTEM HALTED, (CTRL-ALT-DEL) TO REBOOT
เกิดข้อผิดพลาดบางประการขึ้น ซึ่งระบบพยายามแก้ปัญหาด้วยการบูตเครื่องใหม่
Wrong Board In Slot
เกิดขึ้นเมื้อเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์ชนิด EISA หรือเปลี่ยนช่องเสียบ
สัญญาณเสียงแสดงความผิดพลาด ตาราง รหัสเสียง beep ของ AMI BIOS
เสียง beep (ครั้ง)
ความหมาย
1 สิ้นสุดกระบวนการ POST
2 เกิดข้อผิดพลาดใดๆขึ้นระหว่างขั้นตอน POST
3 BIOS ของการ์ดแสดงผลไม่ทำงาน หรือการ์ดแสดงผลเสีย
4 DAC (Digital to Analog Converter) ไม่ทำงาน, หน่วยความจำบนการ์ดแสดงผลเสีย หรือไม่ได้ต่อจอภาพไว้
5 เริ่มต้นการทำงานภาคการแสดงผลส่วนหนึ่งส่วนใดหรือทั้งหมดไม่ได้
สัญญาณเสียงแสดงความผิดพลาดขึ้นกับ Main Board แต่ละรุ่น แต่สำหรับรหัสเสียงสัญญาณแสดงความผิดพลาดพื้นฐาน ได้แก่
จำนวนเสียงสัญญาณ
ตัวต้นเหตุของปัญหา
1 เสียงสั้น
Successful POST
2 เสียงสั้น
Initialization error, DMA, Floppy Disk Drive, Serial, Partial
1 เสียงยาว, 1 เสียงสั้น
Main Board
1 เสียงยาว, 2 เสียงสั้น
VGA or Video Memory
1 เสียงยาว, 3 เสียงสั้น
VGA card
ไม่มีเสียง
Power Supply, Main Board

หมายเหตุ : Main Board, Master Board, System Board มีความหมายอย่างเดียวกัน

ลักษณะและคำอธิบาย
1. โครงสร้างหลักๆ ของ BIOS นั้นมีส่วนประกอบหลักๆ อยู่สองอย่างคือ
ตัวโปรแกรมของไบออส จะถูกเก็บไว้ในหน่วยความจำแบบ ROM เพราะจำได้นานไม่มีลืมเหมือนกับ RAM ทำให้เราสามารถเรียกใช้ BIOS ได้ทันทีเมื่อเปิดเครื่อง แต่เราไม่สามารถเขียนข้อมูลลงไปใน ROM ได้
2. ส่วนตัวข้อมูลจะถูกเก็บไว้ที่ CMOS RAM เป็นหน่วยความจำชนิดหนึ่งที่สามารถเขียนไฟล์ทับได้ คล้ายกับ RAM แต่ต้องใช้ไฟเลี้ยง ถ้าไม่มีไฟ ระบบจะลืมข้อมูลทันที โดยไฟที่ว่านี้มาจากก้อนแบตเตอรี่เล็กติดอยู่บนเมนบอร์ด ถ้าแบตเตอรี่นี้หมด เครื่องก็จะมีปัญหา
หน้าที่และความสำคัญ
BIOS (Basic Input/Output System) คือ Chip ROM (EPROM : Erasable Programmable Read-Only Memory) Bios เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุม Hardware ในการ Boot คอมพิวเตอร์ โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนเครื่องอ่านข้อมูล ไม่ว่า Floppy Disk Drive , Hard Disk Drive และ Cd-Rom Drive โดยเฉพาะ Hard Disk เมื่อต่อเพิ่มหรือถอดออก จะต้องบอกให้ Bios รับรู้เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการ Boot เครื่อง เพื่อเข้าสู่โปรแกรม Windows หรือ OS ต่อไป
วิธีดูรุ่น biosStart --> Run พิมพ์ msinfo32.exe --> OK( ดูตรง BIOS Version/Date )
บางเครื่องเข้าไปที่Programs --> Accessories --> System Tools --> System Information


การเข้าโปรแกรม Bios
สำหรับวิธีการที่จะเข้าไปตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ได้นั้น จะขึ้นอยู่กับระบบของแต่ละเครื่องด้วย โดยปกติเมื่อเราทำการเปิดสวิทช์ไฟของเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS ก็จะเริ่มทำงานโดยทำการทดสอบอุปกรณ์ต่าง ๆ ก่อนที่จะเรียกใช้งานระบบ DOS จากแผ่น Floppy Disk หรือ Hard Disk ในช่วงนี้จะเป็นช่วงที่เราสามารถเข้าไปทำการแก้ไขเปลี่ยนแปลงการตั้งค่าต่าง ๆ ใน BIOS ได้โดยกด Key ต่าง ๆ เช่น DEL, ESC CTRL-ESC, CTRL-ALT-ESC ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับว่าแต่ละเครื่องจะตั้งไว้อย่างไร ส่วนใหญ่ จะมีข้อความบอกเช่น "Press DEL Key to Enter BIOS Setup" เป็นต้น
ปุ่ม Key ต่าง ๆ ที่ใช้สำหรับการ Setup BIOS ส่วนใหญ่จะเป็นแบบเดียวกัน โดยจะมีรูปแบบทั่วไปดังนี้
Up, Down, Left, Right ใช้สำหรับเลื่อนเมนูตามต้องการ
Page Up, Page Down ใช้สำหรับเพิ่ม ลบ หรือเปลี่ยนแปลงค่าตามต้องการ
ESC Key ใช้สำหรับย้อนกลับไปเมนูแรกก่อนหน้านั้น
Enter Key ใช้สำหรับเลือกที่เมนูตามต้องการ
F1, F2 ถึง F10 ใช้สำหรับการทำรายการตามที่ระบุในเมนู BIOS Setup
เมื่อเปิดเครื่องแล้ว ให้กดปุ่ม Delete ไปเรื่อยๆ จนเข้าโปรแกรม Bios โดยบางรุ่นจะใช้ Ctrl+Esc จะขึ้นหน้าจอ

การปรับแต่งค่าต่างๆของ Bios ก่อนอื่นนั้นต้องมาดูหน้าที่หลักๆ ของไบออสกันก่อนนะครับ ไบออสนั้นจะเป็นส่วนเกี่ยวกับการเก็บค่า Configuration ของ อุปกรณ์ Input / Output ทั้งหลาย โดยจะเรียกใช้ค่านั้นทุกครั้งที่ทำการเปิดเครื่อง โดยหลังๆ มานี้ไบออสได้มีการพัฒนาไปมาก เมนบอร์ดในบางยี่ห้อ มีการรวมใส่ส่วนของ Utilities ในการปรับค่าต่างๆ เช่น การโอเวอร์คล๊อกผ่านไบออส เป็นต้น Standard CMOS Setup สำหรับในส่วนนี้จะไม่ค่อยมีค่าอะไรให้ปรับกันเท่าไหร่ โดยส่วนที่สำคัญคือในส่วนการตั้งค่าของอุปกรณ์ที่เป็น IDE ทั้งหลาย โดยส่วนใหญ่ก็จะเป็นฮาร์ดดิสแหละครับ ตรงนี้ผมแนะนำให้ตั้งแบบ Manual ไม่ต้องเซ็ทเป็น Auto เพราะจะทำให้เวลาในการบูต นานขึ้นครับ อีกอย่างหนึ่งพวก drive CD ก็เซ็ทเป็น None ก็ได้ครับ จะช่วยให้ผ่านขั้นตอนการ Post เร็วขึ้นเยอะ ( ยกเว้นคนที่ต้องการบูตเครื่องด้วย CDROM ให้เซ็ทเป็น Auto นะครับ) Bios Features Setup Virus Warning ( ค่าที่ปรับได้ : Enable , Disable ) ค่านี้นั้นจะเป็นการเซ็ทเพื่อให้ไบออสทำการเตือนเมื่อมีโปรแกรมใดๆ พยายามที่จะเขียนข้อมูลลงไปที่ Boot Sectors ของฮาร์ดดิส ซึ่งอาจจะพอมีประโยชน์อยู่บ้าง แต่ผมไม่แนะนำให้ใช้ครับ ลำพังโปรแกรม Anti Virus ที่เราลงไว้ในเครื่อง ก็สามารถปกป้อง Boot Sectors ได้ดีกว่า การตั้งค่านี้เป็นไหนๆ อีกอย่างหนึ่ง เมื่อมีการเตือนขึ้นมา ส่วนใหญ่เครื่องจะแฮ้งไป Recommended Setting : Disable CPU L2 Cache ECC Checking ( ค่าที่ปรับได้ : Enable , Disable ) ชื่อก็บอกอยู่แล้วนะครับ ว่าเป็นการปรับในส่วนของ ECC ( Error Correction ) ของ L2 Cache ในตัว CPU ของเรา ในค่านี้นั้น ต้องเลือกเอาเองแล้วล่ะครับ ว่าจะเปิดหรือจะปิด เพราะว่าถ้าเปิดไว้นั้น จะช่วยให้เครื่องทำงานได้สเถียรมากขึ้น แต่ Performance นั้นอาจจะมีการดรอปลงไปนิดหน่อย ส่วนถ้าปิดไว้นั้น ความสเถียรก็จะลดลงล่ะครับ แต่ก็อาจจะช่วย ให้สามารถโอเวอร์คล๊อกในสปีดสูงขึ้นได้ Recommended Setting : Enable Quick Power On Self Test ( ค่าที่ปรับได้ : Enable , Disable ) ขั้นตอนการ POST หรือ Power On Self Test นั้น เป็นขั้นตอนตั้งแต่เราเปิดเครื่อง ผ่านการอ่านค่าต่างๆ ในไบออส มีการเช็คอุปกรณ์ต่างๆ เช่นหน่วยความจำ หรือ ฮาร์ดดิส ซึ่งตรงนี้นั้นถ้าเราปรับเป็น Quick Power On Self Test ขั้นตอนการ POST จะเร็วขึ้นมากครับ ซึ่งค่าตรงนี้เครื่องส่วนใหญ่จะ Enable มาอยู่แล้ว ก็เขียนมาให้ดูกันเฉยๆ ครับ Recommended Setting : Enable Boot Up Floppy Seek ( ค่าที่ปรับได้ : Enable , Disable ) ค่านี้ก็ไม่มีอะไรมากครับ เป็นการควบคุมให้ไบออส เช็คหรือไม่เช็ค Floppy Drive ของเรา แนะนำว่าให้ปิดไว้จะดีกว่านะครับ บูตเร็วขึ้นนิดหน่อย และเปิดไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร Recommended Setting : Disable Video Bios Shadow ( ค่าที่ปรับได้ : Enable , Disable ) หากทำการเปิดค่านี้ จะทำให้ไบออสของการ์ดจอถูก Copy เข้าไปไว้ที่แรมของเครื่อง ซึ่งหากมีการอ่านนั้นก็จะไปอ่านที่แรม ของเครื่องแทนที่จะเข้าไปอ่านในไบออสของการ์ดจอ ประโยชน์ของค่านี้อาจจะเรียกได้ว่าเป็นอดีตไปซะแล้วล่ะครับ เพราะ VGA Card ใหม่ๆ ในปัจจุบันนั้น จะบรรจุไบออสมาในรูปแบบ Flash Memory ( EEPROM ) ซึ่งการอ่านจาก Flash Memory นั้น มีความเร็วสูงกว่าการอ่านจากแรม ดังนั้นค่านี้ควรจะ Disable ไว้ดีกว่าครับ ไม่เปลืองแรมระบบ ส่วนค่าของการ Shadow ค่าอื่นๆ ก็ควรจะ Disable เอาไว้เช่นกันครับ Recommended Setting : Disable

Chipset Features Setup SDRAM CAS Latency Time ( ค่าที่ปรับได้ : 2 , 3 , Auto ) ในบางเมนบอร์ดอาจจะเรียกค่านี้ว่า SDRAM Cycle Length ก็เป็นค่าเดียวกันนะครับ ค่านี้เป็นค่า Delay ในการทำงานของแรม ซึ่งยิ่งเซ็ทค่าน้อยก็ยิ่งดีครับ แนะนำให้เซ็ทไว้ที่ 2 จะได้ประสิทธิภาพเพิ่มขึ้นกว่า 3 ประมาณ 10-15% ส่วนถ้าเซ็ทเป็น Auto นั้น ไบออสจะทำการอ่านค่าจากชิบ SPD บนตัวแรมว่าเหมาะกับการใช้ที่ CAS ใดให้เอง ซึ่งส่วนใหญ่ก็จะเป็น CAS3 แหละครับ ดังนั้นแนะนำว่าให้เซ็ทเองจะดีกว่า การเซ็ท CAS เป็น 2 นั้น แรมบางตัวอาจจะรับไม่ไหวนะครับ อาจจะเกิดการบูตไม่ขึ้น หรือเครื่องแฮ๊งเป็นระยะได้ Recommended Setting : 2 SDRAM Bank Interleave ( ค่าที่ปรับได้ : 2 ways , 4 ways , Disable ) ก่อนอื่นมาดูความหมาย และประโยชน์ของ Memory Bank Interleave กันก่อนนะครับ ค่า Interleave นี้จะไปแบ่งการทำงานของแรมออกเป็นบล๊อคๆ เช่นสมมุติว่าในการสั่งงานหรือมีข้อมูลเข้าไปที่แรมแต่ละครั้ง ผมจะเรียกแทนว่า word_0 , word_1 ,word_2, word_n ในกรณีที่เซ็ทแรมเป็น 4 Ways Bank Interleave นั้น ลำดับของข้อมูลจะถูกจัดเป็น Bank_0 : word_0, word_4,word_8..word_n+0 Bank_1 : word_1, word_5, word_9..word_n+1 Bank_2 : word_2, word_6, word_a..word_n+2 Bank_3 : word_3, word_7, word_b..word_n+3 จะเห็นนะครับ ว่าข้อมูลถูกหั่นเป็นส่วนๆ แล้วกระจายเข้าไปไว้ที่ Bank ต่างๆ ซึ่งประโยชน์ของการกระจายนี้คืออะไร มาดูกัน Bank แต่ละ Bank นั้นจะมี Control Line กันคนละชุด ซึ่งแยกกันสั่งงานและประมวลผล Bank ใคร Bank มัน เช่น ขณะที่ Bank0 มีการทำงานอยู่ แทนที่ Bank1 จะต้องรอ Bank0 ให้ทำงานเสร็จ Bank1 จะสามารถรับข้อมูลมารอแล้ว ก็ประมวลผลเอาไว้ก่อนได้เลย แต่อย่างไรก็ตาม ยังมีข้อจำกัดเกี่ยวกับ Data Transfer เพราะในการประมวลผลนั้น อาจจะประมวลได้พร้อมๆ กันก็จริง แต่การโอนถ่ายข้อมูลออกมาจากแรมนั้น ยังต้องทำให้เสร็จๆ ไปทีละ Bank เหมือนเดิม
นั่นก็หมายถึงถ้าเราเซ็ทเป็น 4 Ways แล้ว แรมจะสามารถรับข้อมูลและประมวลผลไว้รอได้ถึง 4 Bank เมื่อ Bank แรกประมวลผลเสร็จ และส่งข้อมูลออกไป Bank ต่อไป ( ซึ่งมีข้อมูลที่ประมวลผลเอาไว้รอแล้ว ) จึงจะส่งตามกันไปเรื่อยๆ ซึ่งจะลดเวลาในการต้องรอประมวลผลได้ แล้วถ้าเราเซ็ทเป็น Disable ล่ะ แรมจะต้องรอกันเป็นทอดๆ คือเมื่อ Bank0 ประมวลผล และส่งข้อมูลเสร็จ แทนที่ Bank1 จะประมวลผลเอาไว้แล้ว เตรียมเพื่อจะส่งข้อมูลได้เลย แต่กลับต้องมารอ Bank1 ประมวลผลซะก่อน ( จะไม่มีการประมวลผลไว้ล่วงหน้า ) ซึ่งจะเห็นได้ว่าการรอกันเป็นทอดๆ นั้น เป็นการลดประสิทธิภาพของแรมลงอย่างเห็นได้ชัด Recommended Setting : 4 Ways

Fast R-W Turn Around ( ค่าที่ปรับได้ : Enable, Disable ) ค่านี้เป็น Option สำหรับการลดระยะเวลา Delay ระหว่างที่ CPU จะทำการสลับโหมดในการ Read และ Write ข้อมูล แนะว่าว่าเปิดไว้เป็น Enable ความเร็วจะเพิ่มมานิดหน่อย แต่แรมบางตัวอาจจะรับค่านี้ไม่ได้ ก็ลองปรับดูนะครับ Recommended Setting : Enable AGP Fast Write ( ค่าที่ปรับได้ : Enable, Disable ) Fast Write นั้นเป็นฟังค์ชั่นที่จะพบเห็นได้ใน VGA Card รุ่นใหม่ๆ เกือบทุกรุ่นนะครับ โดยหลักการของมันนั้น ผมก็ไม่ค่อย แน่ใจ ที่จำได้คร่าวๆ นั้น Fast Write จะทำให้ AGP สามารถติดต่อกับ CPU ได้โดยตรง โดยไม่ต้องผ่านหน่วยความจำ หรือส่วนอื่นๆ ( ไม่แน่ใจนะครับ ) แนะนำว่าให้ปรับเป็น Enable จะเร็วขึ้นนิดหน่อยครับ Recommended Setting : Enable ยังมีอีกหลายค่านะครับ บางค่าผมเองก็ยังไม่รู้ความหมาย แต่ก็เคยได้ยินมาว่าควรจะปรับยังไง ก็เอามาให้ดูกันนะครับ ใครจะลองปรับตามก็ได้ตามสบายครับ

Standard CMos Setup
E Date กำหนดวันที่
ETime กำหนดเวลา
EPrimary Master กำหนดฮาร์ดดิสก์ที่ใช้ Boot Windows และลงโปรแกรม
EPrimary Slave กำหนดฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เก็บข้อมูล
ESecondary Slave กำหนดฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เก็บข้อมูล
ESecondary Master กำหนดฮาร์ดดิสก์ที่ใช้เก็บข้อมูล
EDrive A กำหนด Floppy Disk
Bios Feathers Setup
Boot Sequence กำหนดลำดับการ Boot เครื่อง ควรตั้งไว้ A: , C: เพื่อสามารถใช้การ Boot จากแผ่น Startup Disk ได้
IDE HDD Auto Detection
สำหรับค้นหาฮาร์ดดิสก์แบบอัตโนมัติ โดยจะค้นหา Primary Master , Primary Slave , Secondary Master , Secondary Slave ตามลำดับ โดยให้เราตอบ Y ในแต่ละขั้นตอนที่ต้องการ ถ้าในขั้นตอนนี้ไม่สามารถค้นหาฮาร์ดดิสก์ที่เราติดตั้งไว้ได้ ต้องตรวจสอบการต่อฮาร์ดดิสก์ให้ถูกต้องอีกครั้ง
Save & Setting Setup
แน่นอนเมื่อตั้งค่าต่างๆ ตามที่เราต้องการแล้ว ก็ต้อง Save ไว้ ให้ตอบ Y แล้ว Enter
Boot ใช้งานตามต้องการได้ต่อไป


การเซ็ต BIOS
BIOS (Basic Input/Output System) คือ Chip ROM (EPROM : Erasable Programmable Read-Only Memory) Bios เป็นโปรแกรมที่ทำหน้าที่ควบคุมฮาร์ดแวร์ในการ Boot คอมพิวเตอร์ โดยทุกครั้งเมื่อเราเปลี่ยนเครื่องอ่านข้อมูล ไม่ว่า Floppy Disk Drive , Hard Disk Drive และ Cd-Rom Drive โดยเฉพาะฮาร์ดดิสก์ เมื่อต่อเพิ่มหรือถอดออก จะต้องบอกให้ BIOS รับรู้ เพื่อใช้เป็นข้อมูลในการ Boot เครื่อง เพื่อเข้าสู่โปรแกรม Windows หรือ OS ต่อไป
BIOS (Basic Input/Output System), CMOS (Complementary Metal Oxide Semiconductor)
ขั้นตอนการทำงานของ BIOS
1.เมื่อเปิดเครื่อง BIOS จะตรวจสอบอุปกรณ์พื้นฐานที่จำเป็นต่อการใช้งาน เช่น คีย์บอร์ด , ดิสก์ไดรฟ์, จอภาพ, หน่วยความจำ ฯลฯ หากมีอุปกรณ์ใดอุปกรณ์หนึ่งทำงานไม่ถูกต้อง จะแจ้งข้อผิดพลาดให้ทราบทั้งในลักษณะข้อความ (หากจอภาพทำงานได้) และเสียง beep หากจอภาพทำงานไม่ได้
2.โหลดค่ากำหนดเกี่ยวกับอุปกรณ์ต่างๆ ขึ้นมาใช้งาน โดยค่าต่างๆ เหล่านี้จะถูกเก็บไว้ใน CMOS ซึ่งผู้ใช้สามารถเปลี่ยนแปลงได้โดยผ่าน SETUP
3.โหลดระบบปฏิบัติการที่ติดตั้งไว้ในดิสก์ขึ้นมาทำงาน
4.เมื่อระบบปฏิบัติการเริ่มทำงาน นั่นคือคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นจะอยู่ในสภาพที่พร้อมสำหรับการใช้งานแล้ว ส่วน BIOS จะทำหน้าที่ให้บริการต่างๆ ต่อระบบปฏิบัติการอยู่เบื้องหลัง เช่น การอ่าน-เขียน ข้อมูลจากดิสก์, เปิดจอภาพเมื่อผู้ใช้ไม่ได้ใช้งานเป็นเวลานานๆ ฯลฯ
5.เมื่อต้องการปิดเครื่อง BIOS จะปิดการทำงานของอุปกรณ์ต่างๆ ทั้งหมดรวมถึงตัดกระแสไฟที่จ่ายให้ power supply ด้วย ค่ากำหนดต่างๆ ที่เก็บไว้ใน CMOS จะไม่หายไป เมื่อผู้ใช้เปิดเครื่องขึ้นมาใหม่ การทำงานจะวนรอบกลับไปยังขั้นตอนที่ 1 ทันที ดังจะเห็นได้ว่าการทำงานของ BIOS มีผลต่อการทำงานของคอมพิวเตอร์ตลอดเวลา หาก BIOS ได้รับการปรับตั้งไม่ถูกต้อง หรือปรับตั้งไว้ไม่ดี จะทำให้คอมพิวเตอร์เครื่องนั้นทำงานได้ไม่ถูกต้อง, ไม่เต็มประสิทธิภาพ หรือแม้แต่ใช้งานไม่ได้เลยก็เป็นได้


POST ขั้นตอนสำคัญของการเริ่มต้นระบบ

เมื่อเปิดเครื่องคอมพิวเตอร์ BIOS จะเข้าสู่ขั้นตอนที่เรียกว่า POST (Power-On Self Test) ซึ่งเป็นการตรวจสอบอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีในคอมพิวเตอร์เครื่องนั้นเอง สาเหตุที่ต้องตรวจสอบก่อนก็เพราะคอมพิวเตอร์แต่ละเครื่องจะมีอุปกรณ์ไม่เหมือนกัน อีกทั้งผู้ใช้ยังสามารถเปลี่ยนแปลงอุปกรณ์เหล่านี้ได้โดยอิสระอีกด้วย ดังนั้นย่อมเป็นการดีที่จะมาตรวจสอบกันก่อนเริ่มต้นทำงาน ในกรณีที่เจอข้อผิดพลาดก็ยังสามารถรายงานให้ผู้ใช้ทราบ และแก้ไขได้อย่างถูกต้อง


4 ขั้นตอนการทำงานของ POST

ใน BIOS ใดๆ แม้จะต่างยี่ห้อ ต่างบริษัทกัน โดยส่วนใหญ่จะมีขั้นตอน POST ที่คล้ายๆ กัน 4 ขั้นตอน ดังนี้
1.แสดงข้อความเริ่มต้นของการ์ดแสดงผล ซึ่งปกติจะขึ้นอยู่กับชนิดของการ์ดแสดงผลที่ติดตั้งอยู่ในคอมพิวเตอร์นั้นๆ โดยอาจแสดงชื่อบริษัท-โลโก้ของผู้ผลิต, ชื่อรุ่น, ขนาดของหน่วยความจำ ฯลฯ หรือในบางรุ่นอาจไม่แสดงข้อความใดๆ ในขั้นตอนนี้เลยก็ได้
2.แสดงรายละเอียดเกี่ยวกับ BIOS รวมถึงหมายเลขอ้างอิงสำหรับผู้ผลิตเมนบอร์ดและข้อความอื่นๆ จากภาพที่ 2-2 เป็น BIOS ของ Award บนเมนบอร์ดซึ่งใช้ชิปเซ็ต Intel 430HX
3.ตรวจสอบและนับจำนวนหน่วยความจำ รวมทั้งเริ่มการทำงานของอุปกรณ์ประเภทดิสก์ไดรฟ์
4.เมื่อสิ้นสุดการทำงานของ POST แล้ว บนหน้าจอจะแสดงรายละเอียดเกี่ยวกับฮาร์ดแวร์พื้นฐานทั้งหมด จากนั้นจึงโหลดระบบปฏิบัติการจากดิสก์ที่กำหนด (ผ่านทาง SETUP ) มาทำงานต่อไป
ข้อแนะนำ
BIOS ที่มีใช้งานอยู่ส่วนใหญ่จะมีอยู่ 2 บริษัทคือของ AMI BIOS (American Megatrends Inc) และ AWARD (ปัจจุบันรวมเข้ากับ Phoenix Technologies, Ltd. แล้ว) นอกจากนี้ก็จะมี BIOS ที่เป็นของแบนด์เนมต่าง ๆ เช่น COMPAQ หรือ IBM ซึ่งจะมีหน้าตาและวิธีการตั้งค่าแตกต่างออกไปด้วย
EWeb link บริษัท AMI BIOS
EWeb link บรัษัท Phoenix

วันอังคารที่ 1 มิถุนายน พ.ศ. 2553


ประวัติคอมพิวเตอร์ และวิวัฒนาการของคอมพิวเตอร์
[ ประมาณ 2,600 ปีก่อนคริสตกาล ] ชาวจีนได้ประดิษฐ์เครื่องมือเพื่อใช้ในการคำนวณขึ้นมาชนิดหนึ่ง เรียกว่า ลูกคิด ( Abacus) ลูกคิด ( Abacus) [ พ.ศ. 2158 ] นักคณิตศาสตร์ชาวสก็อตแลนด์ชื่อ John Napier ได้ประดิษฐ์อุปกรณ์ที่ใช้ช่วยในการคำนวณขึ้นมาเรียกว่า Napier’s Bones เป็นอุปกรณ์ที่มีลักษณะคล้ายกับตารางสูตรคูณในปัจจุบัน [ พ.ศ.2173 ] วิลเลียม ออตเทรต( William Oughtred) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์ไม้บรรทัดคำนวณ ( Slide Rule) ซึ่ง ต่อมากลายเป็นพื้นฐานของการสร้างคอมพิวเตอร์แบบอนาลอก
[ พ.ศ.2185 ] เบลส์ ปาสคาล ( Blaise Pascal) นักคณิตศาสตร์ชาวฝรั่งเศสได้ประดิษฐ์เครื่องบวกลบขึ้น โดยใช้หลัการหมุนของฟันเฟือง และการทดเลขเมื่อฟันเฟืองหมุน ไปครบรอบ โดยแสดงตัวเลขจาก 0-9 ออกที่หน้าปัด
Pascal’s Calculato [ พ.ศ.2214 ] กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz ) นักคณิตศาสตร์ชาวเยอรมัน ได้ปรับปรุงเครื่องคิดเลขปาสคาล ให้ทำงานได้ดีกว่าเดิม และเขายังค้นพบเลขฐานสอง (Binary number) กอตฟริต วิลเฮล์ม ไลบ์นิซ ( Gottfried Wilhelm Leibniz )
[ พ.ศ.2288 ] โจเซฟ แมรี่ แจคคาร์ด ( Joseph Marie Jacquard) เป็นชาวฝรั่งเศสได้คิด เครื่องทอผ้า โดยใช้คำสั่งจากบัตรเจาะรูควบคุมการทดผ้าให้มีสีและลวดลายต่าง ๆ บัตรเจาะรู[ พ.ศ.2365 ] ชาร์ล แบบเบจ ( Charles Babbage) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษได้ประดิษฐ์เครื่องมือที่เรียกว่าเครื่องหาผลต่าง ( Difference Engine) เพื่อใช้คำนวณและพิมพ์ ค่าทางตรีโกณมิติและฟังก์ชันทางคณิตศาสตร์ แบบเบจได้พยายามสร้าง เครื่องคำนวณอีกชนิดหนึ่งเรียกว่า Analytical Engine โดยมีแนวคิดให้แบ่งการทำงานของเครื่องออกเป็น 3 ส่วนคือ ส่วนเก็บข้อมูล (Store unit), ส่วนควบคุม (Control unit) และส่วนคำนวณ (Arithmetic unit) ซึ่งแนวคิดนี้ได้รับการนำมาใช้เป็นต้นแบบของเครื่องคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน จึงยกย่องแบบเบจ ว่าเป็นบิดาแห่งเครื่องคอมพิวเตอร์ เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค ( Lady Ada Augusta Lovelace ) เป็นนักคณิตศาสตร์ที่เข้าใจผลงานของแบบเบจ ได้เขียนวิธีการใช้เครื่องคำนวณของแบบเบจเพื่อแก้ปัญหาทางคณิตศาสตร์เล่มหนึ่ง ต่อมา เลดี้ เอดา ออคุสตา เลฟเลค จึงได้รับการยกย่องว่าเป็นโปรแกรมเมอร์คนแรกของโลก Differnce Engine
[ พ.ศ.2393 ] ยอร์จ บูล ( George Boole) นักคณิตศาสตร์ชาวอังกฤษ ได้คิดระบบ พีชคณิตระบบใหม่เรียกว่า Boolean Algebra โดยใช้อธิบายหลักเหตุผลทางตรรกวิทยาโดยใช้สภาวะเพียงสองอย่างคือ True (On) และ False (Off) ร่วมกับเครื่องหมายในทางตรรกะพื้นฐาน ได้แก่ NOT AND และ OR ต่อมาระบบเลขฐานสอง และ Boolean Algebra ก็ได้ถูกนำมาดัดแปลงให้เข้ากับวงจรไฟฟ้า ซึ่งมีสภาวะ 2 แบบ คือ เปิด , ปิด จึงนับเป็นรากฐานของการออกแบบวงจรในระบบคอมพิวเตอร์ในปัจจุบัน (Digital Computer)
[ พ.ศ.2480-2481 ] ดร.จอห์น วินเซนต์ อตานาซอฟ ( Dr.Jobn Vincent Atansoff) และ คลิฟฟอร์ด แบรี่ ( Clifford Berry) ได้ประดิษฐ์เครื่อง ABC ( Atanasoff-Berry) ขึ้น โดยได้นำหลอดสุญญากาศมาใช้งาน ABC ถือเป็นเครื่องคำนวณเครื่องแรกที่เป็นเครื่องอิเล็กทรอนิกส์ [ พ.ศ.2487 ] ศาสตราจารย์โอเวิร์ด ไอด์เคน (Howard Aiken) แห่งมหาวิทยาลัยฮาวาร์ด ร่วมกับวิศวกรของบริษัทไอบีเอ็มได้สร้างเครื่อง MARK I เป็นผลสำเร็จ แ ต่อย่างไรก็ตามเครื่อง MARK I นี้ยังไม่ใช่คอมพิวเตอร์ที่แท้จริงแต่เป็นเครื่องคิดเลขไฟฟ้าขนาดใหญ่เท่านั้น [ พ.ศ.2485-2495 ] มหาวิทยาลัยเพนซิลเลเนียได้สร้างเครื่อง ENIAC (Electronic Numerical Integrator And Calculator) นับได้ว่าเป็นเครื่องคำนวณอิเล็กทรอนิกส์เครื่องแรกของโลกที่ใช้หลอดสูญญากาศ และควบคุมการทำงานโดยวิธีเจาะชุดคำสั่งลงในบัตรเจาะรู ENIAC [ พ.ศ.2492 ] ดร.จอห์น ฟอน นิวแมนน์ ( Dr.John Von Neumann ) ได้สร้างเครื่องคอมพิวเตอร์ที่สามารถเก็บคำสั่งการปฏิบัติงานทั้งหมดไว้ภายในเครื่อง ชื่อว่า EDVAC นับเป็นคอมพิวเตอร์เครี่องแรกที่สามารถเก็บโปรแกรม ไว้ในเครื่องได้
EDVAC (first stored program computer) [ พ.ศ.2496-2497 ] บริษัทไอบีเอ็มได้สร้างคอมพิวเตอร์ชื่อ IBM 701 และ IBM 650 โดยใช้หลอดสุญญากาศเป็นวัสดุสร้าง ต่อมาเกิดมีการพัฒนาสิ่งประดิษฐ์ที่เป็นสารกึ่งตัวนำขึ้นที่ห้องปฏิบัติการของบริษัท Bell Telephone ได้เกิดทรานซิสเตอร์ตัวแรกขึ้น ต่อมาทรานซิสเตอร์ได้ถูกนำไปแทนหลอดสูญญากาศ จึงทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลงและเกิดความร้อนน้อยลง (เครื่องที่ใช้ทรานซิสเตอร์ได้แก่ IBM 1401และ IBM 1620 ) หลอดสูญญากาศ (Vacuum tube)
ทรานซีสเตอร์ (Transistor) [ พ.ศ.2508 ] วงจรคอมพิวเตอร์มีการเปลี่ยนแปลงอีกมากเมื่อมีวงจรรวม ( Integrated Circuit: IC) เกิดขึ้น ซึ่งไอบีเอ็มนี้ได้ถูกนำไปแทนที่ทรานซิสเตอร์ ในวงจรอิเล็กทรอนิกส์ของระบบคอมพิวเตอร์อีกครั้ง ซึ่งผลก็คือทำให้คอมพิวเตอร์มีขนาดเล็กลง [ พ.ศ.2514 ] บริษัท Intel ได้ใช้เทคโนโลยีของการผลิตวงจรรวมแบบ ( Large Scale Integrated Circuit :LSI ) ทำการรวมเอาวงจรที่ใช้เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ( CPU) ของคอมพิวเตอร์มาบรรจุอยู่ในแผ่นไอซีเพียงตัวเดียวซึ่ง ไอซีนี้เรียกว่าไมโครโปรเซสเซอร์ ( Microprocessor) Microprocessor [ พ.ศ.2506] ประเทศไทยเริ่มมีคอมพิวเตอร์ใช้เป็นครั้งแรก โดยที่คอมพิวเตอร์เครื่องแรกในประเทศไทยได้ติดตั้งที่ ภาควิชาสถิติ คณะพานิชยศาสตร์และการบัญชีจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องนี้คือ IBM 1620 ซึ่งได้รับมอบจากมูลนิธิเอไอดี และบริษัทไอบีเอ็ม แห่ง ประเทศไทยจำกัด ปัจจุบันหมดอายุการใช้งานไปแล้ว จึงได้มอบให้แก่ศูนย์บริภัณฑ์การศึกษาท้องฟ้าจำลองกรุงเทพฯ
[ พ.ศ.2507] เครื่องคอมพิวเตอร์เครื่องที่สองของประเทศไทยติดตั้งที่สำนักงานสถิติแห่งชาติ ในเดือนมีนาคม 2507
ก่อกำเนิด ไมโครโปรเซสเซอร์เมื่อก่อนนั้น Intel เป็นบริษัทผลิตชิปไอซีแห่งหนึ่งที่ไม่ใหญ่โตมากนักเท่าในปัจจุบันนี้ เมื่อปี ค.ศ.1969 ได้สร้างความสะเทือน ให้กับวงการอิเล็คทรอนิคส์ โดยการออกชิปหน่วยความจำ(Memory)ขนาด 1 Kbyte มาเป็นรายแรกบริษัทบิสซิคอมพ์(Busicomp) ซึ่งเป็นผู้ผลิตเครื่องคิดเลขของญี่ปุ่นได้ทำการว่าจ้างให้ Intel ทำการผลิตชิปไอซี ที่บิสซิคอมพ์เป็นคนออกแบบเองที่มีจำนวน 12 ตัว โครงการนี้ถูกมอบหมายให้นาย M.E. Hoff, Jr. ซึ่งเข้าตัดสินใจที่จะใช้วิธีการออกแบบชิปแบบใหม่ โดยสร้างชิปที่ให้ถูกโปรแกรมได้ หมายถึงว่าสามารถนำเอาชุดคำสั่งของการคำนวณไปเก็บไว้ใน หน่วยความจำก่อนแล้วให้ไอซีตัวนี้อ่านเข้ามาแปล ความหมาย และทำงานภายหลังในปี 1971 Intel ได้นำผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาด โดยใช้ชื่อทางการค้าว่า Intel 4004 ในราคา 200 เหรียญสหรัฐ และเรียกชิปนี้ว่าเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์(Micro Processor) ก็เพราะว่า 4004 นี้เป็น CPU (Central Processing Unit) ตัวหนึ่ง ซึ่งมีขนาด 4.2 X 3.2 มิลลิเมตร ภายในประกอบด้วย ทรานซิสเตอร์ จำนวน 2250 ตัว และเป็น ไมโครโปรเซสเซอร์ขนาด 4 บิตหลังจาก 1 ปีต่อมา Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ ขนาด 8 บิตออกมาโดยใช้ชื่อว่า 8008 มีชุดคำสั่ง 48 คำสั่ง และอ้างหน่วยความจำได้ 16 Kbyte ซึ่งทาง Intel หวังว่าจะเป็นตัวกระตุ้นตลาดทางด้านชิปหน่วยความจำได้อีกทางหนึ่งเมื่อปี 1973 ทาง Intel ได้ออก ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ที่มีชุดคำสั่งพื้นฐาน 74 คำสั่งและสามารถอ้างหน่วยความจำได้ 64 Kbyteไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกของโลกเมื่อปี 1975 มีนิตยสารต่างประเทศฉบับหนึ่ง ชื่อว่า Popular Electronics ฉบับเดือน มกราคม ได้ลงบทความ เกี่ยวกับเครื่อง ไมโครโปรเซสเซอร์ เครื่องแรกของโลกที่มีชื่อว่า อัลแตร์ 8800 (Altair) ซึ่งทำออกมาเป็นชุดคิท โดยบริษัท MITS (Micro Insumentation And Telemetry Systems) ลักษณะของชุดคิท ก็คือ จะอยู่ในรูปของอุปกรณ์แต่ละชิ้นโดยให้ คุณนำไปประกอบขึ้นใช้เองบริษัท MITS ถูกก่อตั้งเมื่อปี 1969 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อทำตลาดในด้านเครื่องคิดเลข แต่การค้าชลอตัวลง ประธานบริษัท ชื่อ H. Edword Roberts เห็นการไกล คิดเปิดตลาดใหม่ซึ่งจะขายชุดคิด คอมพิวเตอร์ ประมาณเอาไว้ว่าอาจขาย ได้ในจำนวนปีล่ะประมาณ 200-300 ชุด จึงให้ทิมงานออกแบบบและพัฒนาแล้วเสร็จก่อนถึงคริสต์มาส ในปี 1974 แต่เพิ่งมา ประกาศตัวในปีถัดไป สำหรับ CPU ที่ใช้คือ 8080 และคำว่า ไมโครคอมพิวเตอร์ จึงถูกเรียกใช้เป็นครั้งแรกเพื่อชุดคิทคอมพิวเตอร์ชุดนี้ชุดคิทของ อัลแตร์ นี้ประกอบด้วย ไมโครโปรเซสเซอร์ 8080 ของบริษัท Intel มี เพาเวอร์ซัพพลาย มีแผงหน้าปัดที่ติดหลอดไฟ เป็นแถวมาให้เพื่อแสดงผล รวมถึงหน่วยความจำ 256 Byte ( แหม.. เหมือนของเล่นเราในสมัยนี้ จังงง ) นอกนั้น ยังมี สล๊อต (Slot) ให้เสียบอุปกร์อื่น ๆ เพิ่มได้ แต่ก็ทำให้ MITS ต้องผิดคาด คือ ภายใน เดือนเดียว มีจดหมายส่งเข้ามาขอสั่งซื้อเป็นจำนวนถึง 4,000 ชุดเลยทีเดียวด้วยชิป 8080 นี่เองได้เป็นแรงดลใจให้บริษัท ดิจิตอลรีเสิร์ช (Digital Research) กำเนิดระบบปฏิบัติการ(Operating System) ที่ชื่อว่า ซีพีเอ็ม(CP/M หรือ Control Program For Microcomputer) ขึ้นมา ในขณะที่ Microsoft ยังเพิ่งออก Microsoft Basic รุ่นแรกเท่านั้นเองถึงยุค Z80เมื่อเดือน พฤศจิกายนปี 1974 ได้มี วิศวกรของ Intel บางคนได้ออกมาตั้งบริษัทผลิตชิปเอง โดยมีชื่อว่า ไซล๊อก (Zilog) เนื่องจาก วิศวกรเหล่านี้ ได้มีส่วนร่ามในการผลิตชิป 8080 ด้วยจึงได้นำเอาเทคโนโลยีการผลิดนี้มาสร้างตัวใหม่ที่ดีกว่า มีชื่อว่า Z80 ยังคงเป็น ชิปขนาด 8 บิต เมื่อได้ออกสู่ตลาดได้รับความนิยมเป็นอย่างมาก เนื่องจากได้ปรับปรุงข้อบกพร่องต่าง ๆ ที่มีอยู่ใน 8080 จึงทำให้เครื่องคอมพิวเตอร์ หลายต่อหลายยี่ห้อ หันมาใช้ชิป Z80 กัน แม้แต่ซีพีเอ็ม ก็ยังถูกปรับปรุงให้มาใช้กับ Z80 นี้ด้วย *** แม้ในปัจุบันนี้ Z80 ยังคงถูกใช้งาน และนำไปใช้ ในการเรียนการสอน ไมโครโปรเซสเซอร์ ด้วย เช่น ชุดคิดหรือ Single Board Microcomputer ของ ETT, Sila เป็นต้น และ IC ตัวนี้ยังผลิตขาย อยู่ในปัจจุบัน ในราคา ไม่เกิน 100 บาท น่ะจะบอกให้)Computer เครื่องแรกของ IBMในปี 1975 ไอบีเอ็ม ได้ออกเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกออกมา แต่ทางไอบีเอ็มได้เรียกเครื่องนี้ว่าเป็น เทอร์มินัลแบบชาญฉลาด ที่สามารถโปรแกรมได้ (Intelligent Programmable Terminal) และตั้งชื่อรุ่นว่า Model 5100 มีหน่วยความจำ 16 Kbyte แล้วยังมีตัวแปลภาษาเบสิก แบบอินเตอร์พรีทเตอร์ (Interpreter) ด้วย และมี ไดรฟ์สำหรับใส่คาร์ทิดจ์เทปในตัว แต่ก็ยังขายไม่ดีเอามาก ๆ เลย เพราะว่าตั้งราคาไว้สูงมากถึง 9,000 เหรียญสหัฐในปลายปี 1980 บริษัทไอบีเอ็มได้เกิดแผนกเล็ก ๆ ขึ้นมาแผนกหนึ่งเรียกว่า Entry Systems Division ภายใต้ทีมของคนชื่อว่า ดอน เอสทริดจ์ (Don Estridge) และนักออกแบบอีก 12 คน โดยได้รับมอบหมายให้พัฒนาเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์เครื่องแรกของไอบีเอ็มโมเด็ล 5100 นั้นเอง โดยนำเอาจุดเด่นของเครื่อง ที่ขายดีมารวมไว้ในการออกแบบเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ของไอบีเอ็ม และผลิตจำหน่ายได้ภายในปีเดียวภายใต้ชื่อว่า ไอบีเอ็มพีซี (IBM PC) ซึ่งถูกเปิดตัวในเดือน สิหาคม ปี 1981 และยอดขายของเครื่องพีซีก็ได้พุ่งอย่างรวดเร็ว ทำให้บริษัทอื่น ๆ จับตามองกำเนิด แอปเปิ้ลในปี 1976 หลังจาก Stephen Wozniak และ Steve Jobs ได้ร่วมกันก่อตั้งบริษัทแอปเปิลคอมพิวเตอร์ (Apple Computer) และได้นำเครื่องไมโครคอมพิวเตอร์ เครื่องแรกที่ประดิษฐ์จากโรงรถออกมาขายโดยใช้ชื่อว่า Apple I ในราคา 695 เหรียญ บริษัทแอปเปิลได้ผลิตเครื่อง Apple I ออกมาไม่มากนัก ภายในปีเดียวได้ผลิต Apple II ออกมาและรุ่นนี้เป็นรุ่นเปิดศักราชแห่งวงการไมโครคอมพิวเตอร์ และเป็นการสร้างมาตรฐาน ที่ไมโครคอมพิวเตอร์ ที่เกิดมาตามหลังทั้งหมด

ชนิดของคอมพิวเตอร์
พัฒนาการทางคอมพิวเตอร์ได้ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง จากอดีตเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ที่ใช้หลอดสุญญากาศขนาดใหญ่ ใช้พลังงานไฟฟ้ามาก และอายุการใช้งานต่ำ เปลี่ยนมาใช้ทรานซิสเตอร์ที่ทำจากชินซิลิกอนเล็ก ๆ ใช้พลังงานไฟฟ้าต่ำ และผลิตได้จำนวนมาก ราคาถูก ต่อมาสามารถสร้างทรานซิสเตอร์จำนวนหลายแสนตัวบรรจุบนชิ้นซิลิกอนเล็ก ๆ เป็นวงจรรวมที่เรียกว่า ไมโครชิป (microchip) และใช้ไมโครชิปเป็นชิ้นส่วนหลักที่ประกอบอยู่ในคอมพิวเตอร์ ทำให้ขนาดของคอมพิวเตอร์เล็กลงไมโครชิปที่มีขนาดเล็กนี้สามารถทำงานได้หลายหน้าที่ เช่น ทำหน้าที่เป็นหน่วยความจำสำหรับเก็บข้อมูล ทำหน้าที่เป็นหน่วยควบคุมอุปกรณ์รับเข้าและส่งออก หรือทำหน้าที่เป็นหน่วยประมวลผลกลาง ที่เรียกว่า ไมโครโพรเซสเซอร์ ไมโครโพรเซสเซอร์ หมายถึงหน่วยงานหลักในการคิดคำนวณ การบวกลบคูณหาร การเปรียบเทียบ การดำเนินการทางตรรกะ ตลอดจนการสั่งการเคลื่อนข้อมูลจากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่ง หน่วยประมวลผลกลางนี้เรียกอีกอย่างว่า ซีพียู (Central Processing Unit : CPU)การพัฒนาไมโครชิปที่ทำหน้าที่เป็นไมโครโพรเซสเซอร์มีการกระทำอย่างต่อเนื่องทำให้มีคอมพิวเตอร์รุ่นใหม่ ๆ ที่ดีกว่าเกิดขึ้นเสมอ จึงเป็นการยากที่จะจำแนกชนิดของคอมพิวเตอร์ออกมาอย่างชัดเจนครับเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างรวดเร็ว ขีดความสามารถของคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กอาจมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ แต่อย่างไรก็ตามพอจะจำแนกชนิดคอมพิวเตอร์ตามสภาพการทำงานของระบบเทคโนโลยีที่ประกอบอยู่และสภาพการใช้งานได้ดังนี้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ (super computer)ซูเปอร์คอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่เหมาะกับงานคำนวณที่ต้องมีการคำนวณตัวเลขจำนวนหลายล้านตัวภายในเวลาอันรวดเร็ว เช่น งานพยากรณ์อากาศ ที่ต้องนำข้อมูลต่าง ๆ เกี่ยวกับอากาศทั้งระดับภาคพื้นดิน และระดับชั้นบรรยากาศเพื่อดูการเคลื่อนไหวและการเปลี่ยนแปลงของอากาศ งานนี้จำเป็นต้องใช้เครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีสมรรถนะสูงมาก นอกจากนี้มีงานอีกเป็นจำนวนมากที่ต้องใช้ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ซึ่งมีความเร็วสูง เช่น งานควบคุมขีปนาวุธ งานควบคุมทางอวกาศ งานประมวลผลภาพทางการแพทย์ งานด้านวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะทางด้านเคมี เภสัชวิทยา และงานด้านวิศวกรรมการออกแบบซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็ว และมีประสิทธิภาพสูงกว่าคอมพิวเตอร์ชนิดอื่น การที่ซูเปอร์คอมพิวเตอร์ทำงานได้เร็วครับมีการพัฒนาให้มีโครงสร้างการคำนวณพิเศษ เช่นการคำนวณแบบขนานที่เรียกว่า เอ็มพีพี (Massively Parallel Processing : MPP) ซึ่งเป็นการคำนวณที่กระทำกับข้อมูลหลาย ๆ ตัวในเวลาเดียวกันเมนเฟรมคอมพิวเตอร์ (mainframe computer)
เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ขนาดใหญ่ที่มีการพัฒนามาตั้งแต่เริ่มแรก เหตุที่เรียกว่า เมนเฟรมคอมพิวเตอร์เพราะตัวเครื่องประกอบด้วยตู้ขนาดใหญ่ที่ภายในตู้มีชิ้นส่วนและอุปกรณ์ต่าง ๆ อยู่เป็นจำนวนมาก แต่อย่างไรก็ตามในปัจจุบันเมนเฟรมคอมพิวเตอร์มีขนาดลดลงมากเมนเฟรมเป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงมาก มักอยู่ที่ศูนย์คอมพิวเตอร์หลักขององค์การ และต้องอยู่ในห้องที่มีการควบคุมอุณหภูมิและมีการดูแลรักษาเป็นอย่างดีบริษัทผู้ผลิตเมนเฟรมได้พัฒนาขีดความสามารถของเครื่องให้สูงขึ้น ข้อเด่นของการใช้เมนเฟรมอยู่ที่งานที่ต้องการให้มีระบบศูนย์กลาง และกระจายการใช้งานไปเป็นจำนวนมาก เช่นครับบบเอทีเอ็มซึ่งเชื่อมต่อกับฐานข้อมูลที่จัดการโดยเครื่องเมนเฟรม อย่างไรก็ตามขนาดของเมนเฟรมและมินิคอมพิวเตอร์ก็ยากที่จะจำแนกจากกันให้เห็นชัดปัจจุบันเมนเฟรมได้รับความนิยมน้อยลง ทั้งนี้เพราะคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กมีประสิทธิภาพและความสามารถดีขึ้น ราคาถูกลง ขณะเดียวกันระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ก็ดีขึ้นจนทำให้การใช้งานบนเครือข่ายกระทำได้เหมือนการใช้งานบนเมนเฟรมมินิคอมพิวเตอร์ (mini computer)
มินิคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องที่สามารถใช้งานพร้อม ๆ กันได้หลายคน จึงมีเครื่องปลายทางต่อได้ มินิคอมพิวเตอร์เป็นคอมพิวเตอร์ที่มีราคาสูงกว่าสถานีงานวิศวกรรม นำมาใช้สำหรับประมวลผลในงานสารสนเทศขององค์การขนาดกลาง จนถึงองค์การขนาดใหญ่ที่มีการวางระบบเป็นเครือข่ายเพื่อใช้งานร่วมกัน เช่น งานบัญชีและการเงิน งานออกแบบทางวิศวกรรม งานควบคุมการผลิตในโรงงานอุตสาหกรรมมินิคอมพิวเตอร์เป็นอุปกรณ์ที่สำคัญในระบบเครือข่ายคอมพิวเตอร์ขององค์การที่เรียกว่าเครื่องให้บริการ (server) มีหน้าที่ให้บริการกับผู้ใช้บริการ (client) เช่น ให้บริการแฟ้มข้อมูล ให้บริการข้อมูล ให้บริการช่วยในการคำนวณ และการสื่อสารไมโครคอมพิวเตอร์ (Microcomputer)
ไมโครคอมพิวเตอร์เป็นเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็ก ซึ่งสามารถใช้เป็นเครื่องต่อเชื่อมในเครือข่าย หรือใช้เป็นเครื่องปลายทาง (terminal) ซึ่งอาจจะทำหน้าที่เป็นเพียงอุปกรณ์รับและแสดงผลสำหรับป้อนข้อมูลและดูผลลัพธ์ โดยดำเนินการการประมวลผลบนเครื่องอื่นในเครือข่าย โดยส่วนใหญ่ไมโครคอมพิวเตอร์ที่พบเห็นกันจะเป็นคอมพิวเตอร์พีซี (Personal Computer : PC) ซึ่งออกแบบตามมาตรฐานของ IBM แต่ยังมีไมโครคอมพิวเตอร์อีกประเภทหนึ่ง ที่นิยมใช้ในงานสิงพิมพ์และการตกแต่งภาพกราฟิก นั่นคือ เครื่องแมคอินทอช (Macintosh) ซึ่งจะมีโครงสร้างภายในและรูปลักษณ์ภายนอกแตกต่างไปจากเครื่องพีซีอาจจะกล่าวได้ว่าไมโครคอมพิวเตอร์ คือเครื่องคอมพิวเตอร์ที่มีหน่วยประมวลผลกลางเป็นไมโครโพรเซสเซอร์ ใช้งานง่าย ทำงานในลักษณะส่วนบุคคลได้ สามารถแบ่งแยกไมโครคอมพิวเตอร์ตามขนาดของเครื่องได้ดังนี้คอมพิวเตอร์แบบตั้งโต๊ะ (desktop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดเล็กถูกออกแบบมาให้ตั้งบนโต๊ะ มีการแยกชิ้นส่วนประกอบเป็น ซีพียู จอภาพ และแผงแป้งอักขระแล็ปท็อปคอมพิวเตอร์ (laptop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ขนาดเล็กที่วางใช้งานบนตักได้ จอภาพที่ใช้เป็นแบบแบนราบชนิดจอภาพผนึกเหลว (Liquid Crystal Display : LCD) น้ำหนักของเครื่องประมาณ 3-8 กิโลกรัม
โน้ตบุ๊กคอมพิวเตอร์ (notebook computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์ที่มีขนาดและ ความหนามากกว่าแล็ปท็อป น้ำหนักประมาณ 1.5-3 กิโลกรัม จอภาพแสดงผลเป็นแบบราบชนิดมีทั้งแบบแสดงผลสีเดียว หรือแบบหลายสี โน้ตบุ๊กที่มีขายทั่วไปมีประสิทธิภาพและความสามารถเหมือนกับแล็ปท็อปปาล์มท็อปคอมพิวเตอร์ (palmtop computer) เป็นไมโครคอมพิวเตอร์สำหรับทำงานเฉพาะอย่าง เช่นเป็นพจนานุกรม เป็นสมุดจนบันทึกประจำวัน บันทึกการนัดหมายและการเก็บข้อมูลเฉพาะบางอย่างที่สามารถพกพาติดตัวไปมาได้สะดวก
ประวัติความเป็นมาWindows 7
ในแรกเริ่มเดิมที่มีชื่อหรือรหัสในการพัฒนาว่า แบล็กโคมบ์ (Blackcomb) ต่อมาถูกเปลี่ยนเป็นเวียนนา (Vienna) โดย Windows 7 ได้พัฒนาขึ้นมาเพื่อแก้ไขข้อบกพร่องที่เกิดขึ้นกับ Vista ที่ไม่ประสบผลสำเร็จเท่าที่ควร Windows 7 จะใช้ทรัพยากรของเครื่องที่น้อยกว่า Windows Vista ทำให้ความเร็วในการทำงานโดยรวมนั้นเร็วกว่า Windows Vista มีการพัฒนาให้สามารถใช้งานได้ง่ายมากขึ้น พร้อมกับระบบจอภาพสัมผัส ระบบจดจำลายนิ้วมือ, DirectX 11 สำหรับกราฟิกและการเล่นเกม หลายคนอาจสงสัยว่า ใน Windows 7 จะมีอะไรที่ใหม่กว่า Windows Vista หรือ Windows XP ในที่นี้จะขอแบ่งส่วนต่างๆ ของ Windows 7 เป็น 3 ส่วน ดังนี้ 1. ส่วนที่เป็นระบบปฏิบัติการที่เป็นแกนหลักของระบบปฏิบัติการที่ทำให้ฮาร์ดแวร์และซอฟต์แวร์สามารถทำงานร่วมกันได้ 2. ระบบติดต่อกับผู้ใช้ หรือ Use Interface 3. โปรแกรมต่างๆ ที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการ โดยที่ผู้ใช้ไม่จำเป็นต้องติดตั้งเพิ่มสำหรับส่วนแรกนั้น Windows 7 พัฒนาต่อยอดมาจาก Windows Vista ทำให้ในส่วนของแกนหลักของระบบปฏิบัติการแทบจะไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงมากมายนัก (จนหลายๆ คนวิจารณ์ว่าไม่มีอะไรที่เป็นสิ่งแปลกใหม่) ไม่ว่าจะเป็น ระบบเอฟเฟ็กต์ Aero ไดรเวอร์ต่างๆ รวมไปถึงระบบรักษาความปลอดภัยที่เรียกว่า Use Account Control ที่ปรับปรุงให้ใช้งานได้ง่ายขึ้น ช่วยให้สามารถใช้งานโปรแกรมต่างๆ ได้อย่างปลอดภัยโดยสามารถกำหนดระดับการเตือนได้ โดยไม่มีการเตือนที่น่ารำคาญเหมือนกับ Windows Vistaด้านประสิทธิภาพในการทำงาน Windows 7 ใช้ทรัพยากรที่น้อยกว่า Windows Vista โดยหน่วยความจำขั้นต่ำ ใช้เพียง 1 กิกะไบต์ ในขณะที่ Windows Vista ใช้อย่างน้อย 2 กิกะไบต์ (แต่แนะนำให้ใช้จริงๆ 4 กิกะไบต์) โดยสังเกตได้ว่า Windows 7 จะใช้ทรัพยากรระบบน้อยลง และมีประสิทธิภาพในการทำงานเร็วกว่าทั้ง Windows Vista และ XP ประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ส่วนของระบบติดต่อกับผู้ใช้ มีการเปลี่ยนแปลงให้ดีกว่าที่มีใน Windows Vista (ผู้ใช้งาน Windows XP ก็สามารถใช้งานได้ไม่ยาก) โดยจะมีการปรับปรุงการใช้งานทาสก์บาร์ที่ดีขึ้น โดดยจะจัดไอเท็มที่คล้ายกันและมีความสัมพันธ์เข้าด้วยกัน เพื่อประหยัดพื้นที่ในการใช้งาน สามารถลากไอเท็มที่ต้องการไปวางบนไอเท็มที่รวมกลุ่มกัน และสามารถพรีวิวดูคอนเทนต์เมื่อวางพอยน์เตอร์เหนือไอคอนบนทาสก์บาร์ได้ด้วย รวมไปถึงคุณสมบัติ Aero Peek, System Tray, Jump List (จะกล่าวรายละเอียดต่อไปในภายหลัง)Gadget ที่ปรับปรุงให้ดีขึ้น โดยไม่จำเป็นต้องวางไว้บน Sidebar เหมือนใน Windows Vista ผู้ใช้สามารถวางไว้ในที่ใดก็ได้บนเดสก์ทอป และจะมีปุ่ม show desktop ที่จะแสดงเดสก์ทอปทั้งหมดและคอลเล็กชั่น Gadget ของคุณโดยไม่ต้องมินิไมซ์หน้าต่างไหนลงทาสก์บาร์ รวมทั้งการปรับปรุงด้านการประหยัดพลังงาน ทำให้สามารถใช้งานร่วมกับแบตเตอรี่ได้ยาวนานขึ้นและสุดท้าย โปรแกรมที่มาพร้อมกับระบบปฏิบัติการนั้น จะมีการจัดกลุ่มให้สามารถใช้งานได้สะดวกมากขึ้น เช่น Windows Live Essential จะประกอบด้วยโปรแกรม Windows Photo Gallery, Windows Movie Maker, Windows Mail, Windows Calendar เป็นต้นทาสก์บาร์แบบใหม่ ที่รวม Quick Launch ไว้ด้วยกัน สามารถทำงานได้สะดวกมากขึ้น เมื่อนำพอยน์เตอร์ไปวางที่ไอคอนของโปรแกรมจะมีพรีวิวแสดงหน้าต่างแบบเต็มจอภาพประกฎขึ้นมา
ต่อท้าย #2 16 ส.ค. 2552, 14:46:47
4. ข้อดี / ข้อเสียข้อดี 1. ประสิทธิภาพดีกว่า > Windows XP 50% , > Windows Vista 25-40%1.1 เร็วขึ้นโดยใช้ CPU จำลอง Graphic 3D (WDDM 1.0-1.1) ช่วยให้เครื่องที่ไม่มี VGA Card 3D แยกสามารถทำงานได้เต็มที่ + DirectX 111.2 ใช้ประสิทธิภาพ Hardware(RAM,HD,etc) ได้เต็มประสิทธิภาพ (มองเห็น RAM 4.00 GB,คัดลอกข้อมูลได้เร็วและเสถียรกว่า Vista)1.3 ไม่ทำ Index พร่ำเพรื่อเหมือน Vista2. เสถียร แม้จะเป็น version ทดสอบและเบต้า 1 ก็ยังทำงานได้ดี และลดอัตราการปิดหน้าจอทั้งหมด (IE) และมีการจำ URL ที่เข้าล่าสุดก่อนการปิดแบบผิดปกติไว้ ในบางครั้งที่เกิดการทำงานหนัก(Not Responce) ก็ยังสามารถทำงานอื่นต่อได้เพื่อรอ3. สามารถทำ virtualization จำลองการทำงานได้ดี (ทดสอบบน Sun xVM VirtualBox 2.1) ติดตั้ง Windows XP , Windows 7 และ VS2008 พร้อมกันได้4. สามารถใช้ Application ที่ใช้ได้บน Vista ได้ สำหรับ XP ใช้ได้บางโปรแกรมข้อเสีย1.ใช้พื้นที่ฮาร์ดิสสำหรับการติดตั้งค่อนข้างมาก (9-11GB) 2.โปรแกรมที่ใช้บน Windows XP อาจใช้ไม่ได้บน Windows 7 (ต้องมีประสบการณ์การใช้ Vista)3.Driver Hardware มีน้อย และต้องรอให้ Windows Update ให้ อาจใช้ไม่ได้กับเครื่องรุ่นเก่าบางรุ่น (เช่น IBM R51 CPU 1.6GHz แต่ไม่พบ Driver VGA ทำให้ใช้ประสิทธิภาพ 3D ได้ไม่เต็มที่)4.อาจมี bug ของ IE 8 beta บ้างในบาง web site , ต้องแก้ปัญหาภาษาไทยโดยยกเลิก font style
ต่อท้าย #3 16 ส.ค. 2552, 14:50:31
5. ขั้นตอนการติดตั้ง WINDOWS 7System Requirements สำหรับ Windows 7 Build 7600Windows 7 Build 7600 มีความต้องการระบบขั้นต่ำดังนี้- CPU: 1 GHz 32-bit หรือ 64-bit- Memory: 1 GB สำหรับเวอร์ชัน 32-bit และ 2 GB สำหรับเวอร์ชัน 64-bit- Disk space: 16 GB สำหรับเวอร์ชัน 32-bit และ 20 GB สำหรับเวอร์ชัน 64-bit- Graphics: รองรับ DirectX 9 และ Windows Display Driver Model 1.0 หรือสูงกว่า สำหรับการใช้งาน Aero theme- Other: DVD-R/W Drive, Internet access (สำหรับดาวน์โหลด Windows 7 RC และ Update)ขั้นตอนการติดตั้ง Windows 7 Build 7600มีขั้นตอนดังนี้1. เมื่อทำการบูตเครื่องคอมพิวเตอร์ด้วยแผ่นดีวีดี Windows Setup จะได้หน้าจอ Windows is loading files และ Starting Windows ดังรูปที่ 1 ให้รอจนระบบทำงานแล้วเสร็จ2. ในหน้าต่าง Install Windows ให้เลือกภาษาที่ต้องการ และตั้งค่าอื่นๆ ตามความต้องการ เสร็จแล้วคลิก Next เพื่อไปยังขั้นตอนต่อไปในที่นี้เลือก:Language to install: EnglishTime and currency format: English (United States)Keyboard or input method: US3. ในหน้าต่างถัดไปให้คลิก Install Now เพื่อทำเริ่มการติดตั้ง Windows 74. ในหน้าต่าง Please read the license terms ให้อ่าน License Terms เสร็จแล้ว ให้คลิกเช็คบ็อกซ์ I accept the license terms จากนั้นคลิก Next เพื่อไปยังหน้าถัดไป5. ในหน้าต่าง Which type of installation do you want? ให้เลือกเป็น Custom (Advanced)6. ในหน้าต่าง Where do you want to install Windows? ให้เลือก Hard Disk/Partition ที่ต้องการติดตั้ง เสร็จแล้วคลิก Nextหมายเหตุ: ในกรณีที่ใน Hard Disk/Partition ที่เลือกมีการติดตั้งวินโดวส์เวอร์ชันอื่นอยู่ ระบบจะแสดงข้อความแจ้งเตือน ให้คลิก OK เพื่อยืนยันการติดตั้ง Windows 77. ระบบจะเริ่มทำการติดตั้ง Windows โดยจะดำเนินการต่างๆ ดังนี้ คือ Copying files, Expanding files, Installing features และ Installing updates หลังจากทำการติดตั้งขั้นตอน Installing updates แล้วเสร็จ จะทำการรีสตาร์ทระบบ 1 ครั้ง หลังจากรีสตาร์ทเสร็จจะทำขั้นตอน Completing Installation ต่อ หลังจากทำขั้นตอน Completing Installation แล้วเสร็จ จะทำการรีสตาร์ทระบบอีก 1 ครั้ง
ต่อท้าย #4 16 ส.ค. 2552, 14:50:51
8. ในหน้าต่าง Set Up Windows ระบบจะให้เลือก User name และตั้งชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ ให้พิมพ์ User name ที่ต้องการในกล่องใต้ Type a user name: จากนั้นใส่ชื่อเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ต้องการในกล่องใต้ Type a computer name: เสร็จแล้วคลิก Next9. ในหน้าต่าง Set a password for your account ระบบจะให้กำหนดรหัสผ่านสำหรับ User name ที่สร้างในขั้นตอนที่ 8 ใส่รหัสผ่านที่ต้องการ 2 ครั้ง ในกล่องใต้ Type a password (recommended): และ Retype your password: จากนั้นพิมพ์ข้อมูลช่วยจำรหัสผ่านในช่อง Type a password hint: เสร็จแล้วคลิก Nextหมายเหตุ:ในขั้นตอนที่ 9 นี้ ไม่จำเป็นต้องกำหนดรหัสผ่านก็ได้ แต่เพื่อเพิ่มความปลอดภัยให้กับระบบ ผมขอแนะนำให้กำหนดรหัสผ่าน และในกรณีที่กำหนดรหัสผ่านจะต้องกำหนดข้อมูลช่วยจำรหัสผ่านด้วย ระบบจึงจะยอมให้ดำเนินการในขั้นตอนถัดไป10. ในหน้าต่าง Type your Windows product key ให้ใส่หมายเลขโปรดักส์คีย์ (ขั้นตอนนี้เป็นอ็อปชันไม่จำเป็นต้องใส่ก็ได้ โดยหมายเลขโปรดักส์คีย์นั้น ไมโครซอฟท์ให้มาพร้อมกับการดาวน์โหลด) เสร็จแล้วคลิก Nextหมายเหตุ: ผมแนะนำให้เคลียร์เช็คบ็อกซ์ Automatically activate Windows when I'm online แล้วค่อยทำการแอคติเวตแบบแมนนวลภายหลัง11. ในหน้าต่าง Help protect your computer and improve Windows automatically ให้เลือก Use recommended settings หรือ Install inportant updates only หรือ Ask me later ในที่นี้เลือกหัวข้อหลัง12. ในหน้าต่าง Review your time and date settings ให้ทำการตั้ง Time Zone ให้ตรงพื้นที่ใช้งาน และตั้ง Date และ Time ให้ตรงกับวัน-เวลาจริง เสร็จแล้วคลิก Nextหมายเหตุ: Time Zone ใน Windows 7 นั้นจะเปลี่ยนจาก GMT เป็น UTC ตัวอย่างเช่นไทม์โซนของประเทศไทยจะเปลี่ยนจาก GMT+07:00 เป็น UTC+07.0013. ในหน้าต่าง Select your computer's current location ให้เลือกเป็น Home network หรือ Work network หรือ Public networkหมายเหตุ: ขั้นตอนนี้จะมีเฉพาะในกรณีมีการเชื่อมต่อกับระบบเน็ตเวิร์ก14. วินโดวส์จะทำการจัดเตรียมระบบตามการตั้งค่าต่างๆ ที่กำหนดในขั้นตอนด้านบน เมื่อเสร็จแล้วก็จะได้หน้า Desktop ดังรูปด้านล่าง• หมายเลขเวอร์ชันของ Windows 7 Build 7600หลังจากทำการติดตั้ง Windows 7 Build 7600 เสร็จเรียบร้อยแล้ว สามารถดูหมายเลขเวอร์ชันได้โดยการรันคำสั่ง winver (คลิก Start พิมพ์ winver ในช่อง Search programs and files เสร็จแล้วกด Enter) เมื่อดูเวอร์ชันของ Windows 7 Build 7600 หมายเลขเวอร์ชันคือ 6.1 (Build 7600) และจุดที่แตกต่างอีกหนึ่งอย่างคือ Build 7600 จะไม่มัวันหมดอายุ ในขณะที่ RC จะหมดอายุในวันที่ 2 มีนาคม 2553หมายเหตุ: ถ้าหากรันคำสั่ง ver ที่คอมมานด์พร็อมท์หมายเลขเวอร์ชันคือ 6.1.7600
ระบบปฏิบัติการ Windows
คือ ระบบปฏิบัติการที่ใช้ในการจัดการและควบคุมการทำงานต่าง ๆ ของเครื่องคอมพิวเตอร์ เช่น การจัดการเกี่ยวกับการแสดงผลบนจอภาพ รับข้อมูลทางแป้นพิมพ์หรือเมาส์ การจัดการเกี่ยวกับแฟ้มข้อมูล การพิมพ์แฟ้มข้อมูล การทำสำเนาแฟ้มข้อมูล การเปลี่ยนชื่อแฟ้มข้อมูล การเก็บแฟ้มข้อมูล การติดตั้งโปรแกรม เป็นต้น มีการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง จาก Windows3.11 Windows95 Windows98 Windows98Me มาเป็น WindowsXp